เครือข่ายสุขภาพฯ แฉ CEO บริษัทน้ำดำ ดอดพบ “อภิสิทธิ์”
ต่อรองขอลดภาษีน้ำอัดลม แลกลงทุนเพิ่มในไทย
หมอค้านสุดชีวิต ชี้ทั่วโลกมีแต่เพิ่มภาษี เพราะเป็นสินค้าทำลายสุขภาพ ทำประชาชนป่วย รัฐแบกค่ารักษา ตะลึงเด็กไทยครึ่งหนึ่งดื่มน้ำดำ เด็กอนุบาลดื่มวันละกระป๋อง ถ้าไม่ป้องกัน ปี 69 คนไทยครึ่งประเทศ จะเป็นโรคอ้วน เตรียมตบเท้าไปก.คลัง ยื่นหนังสือค้าน
ทพ.ดร.วีระศักดิ์ พุทธาศรี นักวิจัยอาวุโส สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ และเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ ผู้บริหารจากบริษัทน้ำอัดลมรายใหญ่ของโลกได้เข้าพบกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยเสนอให้รัฐบาลไทยให้ลดภาษีน้ำอัดลม เพื่อแลกกับการขยายการลงทุนเพิ่มในไทย แนวคิดดังกล่าวเป็นเรื่องน่าเป็นห่วง เพราะสินค้าประเภทน้ำอัดลม เป็นอาหารที่ทำลายสุขภาพ หากมีการลดภาษีก็เท่ากับสนับสนุนกระตุ้นประชาชนให้บริโภคเพิ่มขึ้น ซึ่งสวนทางกับนานาประเทศ ที่หันมาเพิ่มภาษีอาหารประเภททำลายสุขภาพ อาทิ น้ำอัดลม เพื่อลดภาระของรัฐบาลที่ต้องใช้เงินมหาศาลในการดูแลสุขภาพประชาชน
“ผลการศึกษาในประเทศสหรัฐฯ พบว่าปี 2008 รัฐบาลต้องจ่ายค่ารักษาโรคอ้วนถึง147,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 5 ล้านล้านบาทไทย ซึ่งมากกว่างบประมาณแผ่นดินของไทยถึง 2 เท่าครึ่ง ทั้งยังพบว่ารัฐที่ไม่มีการเก็บภาษีเครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว มีประชากรเป็นโรคอ้วนชุกกว่ารัฐที่มีการเก็บภาษีถึง 4 เท่าและรัฐที่ยกเลิกการเก็บภาษีมีประชากรโรคอ้วนชุกขึ้นเป็น 13 เท่าของรัฐที่ไม่เก็บภาษี ซึ่งแสดงความสัมพันธ์กันว่าเมื่อไม่มีการเก็บภาษี ก็ยิ่งมีกระตุ้นให้เกิดการบริโภค สร้างผลเสียต่อสุขภาพ เพราะเป็นสินค้าที่มีน้ำตาลสูง มีผลกระทบต่อสุขภาพช่องปากของเด็ก ทั้งฟันผุ ฟันกร่อน โรคอ้วน โรคเบาหวาน” ทพ.วีระศักดิ์ กล่าว
ทพ.ดร.วีระศักดิ์ กล่าวอีกว่า โดยหลักการแล้วแม้ภาครัฐ มีความจำเป็นที่ควรให้การสนับสนุนการลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรม แต่การสนับสนุนใดๆต้องเป็นไปอย่างระมัดระวังและเหมาะสม อาทิ การให้การส่งเสริมแก่ภาคอุตสาหกรรมที่ใช้ต้นทุนส่วนใหญ่จากวัตถุดิบและแรงงานในประเทศ น่าจะมีผลดีมากกว่าการส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตน้ำอัดลม ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่มีความจำเป็น ทั้งยังสร้างภาระต่อภาครัฐและสุขภาพของประชาชนในอนาคต ธุรกิจน้ำอัดลมใช้ต้นทุนเครื่องจักรนำเข้าราคาสูง และมีต้นทุนเป็นค่าหัวเชื้อที่ต้องนำเข้าถึง 39% ต้นทุนน้ำตาล 38% โดยมีค่าแรงงานเพียง 7% เท่านั้น จึงอยากให้รัฐบาลพิจารณาอย่างรอบคอบ
“วันที่ 24 ก.ย. นี้เวลา 13.00 น. เครือข่ายสุขภาพประกอบด้วยเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน เครือข่ายคนไทยไร้พุง เครือข่ายโภชนาการสมวัย มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว ชมรมทันตสาธารณสุขแห่งประเทศไทย ประมาณ 10 คน จะเดินทางเข้าพบ นายพฤฒิชัย ดํารงรัตน์ รมช.กระทรวงการคลัง เพื่อยื่นหนังสือคัดค้านการลดภาษีให้อุตสาหกรรมน้ำอัดลม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพคนไทยทั้งประเทศ”ทพ.ดร.วีระศักดิ์ กล่าว
ทพ.ปิยะดา ประเสริฐสม กองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กล่าวว่า การสำรวจของ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ขณะนี้เด็กไทยวัยประถม มีพฤติกรรมดื่มน้ำหวานน้ำอัดลมถึง 50% และมีเด็กที่ดื่มเป็นประจำทุกวันถึง 30% ที่น่าตกใจคือ โดยเฉลี่ยเด็กไทยในวัยอนุบาลและประถมศึกษาดื่มน้ำอัดลม 0.2 ลิตรต่อคนต่อวัน หรือเฉลี่ยวันละ 1 กระป๋อง หรือคิดเป็น 66 ล้านลิตรต่อปี หมายถึงจะได้น้ำตาลเฉลี่ยครั้งละ 7.4-8 ช้อนชา ซึ่งเกินปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน จึงเป็นอันตรายอย่างมาก และคาดการณ์ว่า ในอนาคตไทยจะประสบปัญหาภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนที่รุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างมาก หากไม่มีมาตรการใด ในปี 2568 จะมีประชากรครึ่งหนึ่งมีภาวะน้ำหนักเกิน กลายเป็นปัญหาสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจในระยะยาว
ที่มา : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.
Update 23-09-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : ฤทัยรัตน์ ไกรรอด