เครือข่ายสุขภาพสานต่องาน ‘3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทย เทิดไท้องค์ราชัน’
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน
แฟ้มภาพ
เมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย ได้แก่ สมาพันธ์ เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ องค์กรเครือข่ายหมออนามัย 4 องค์กร ประกอบด้วย ชมรมสาธารณสุขแห่งประเทศไทย มูลนิธิเครือข่ายหมออนามัย สมาคมวิชาชีพสาธารณสุข และสมาคมหมออนามัย จัดเปิดตัว "โครงการ 3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทย เทิดไท้องค์ราชัน"ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง
ซึ่งครั้งนี้ได้จัดขึ้นในรูปแบบการประชุม เพื่อเร่งรัดการทำงานให้บรรลุเป้าหมาย คือ ลดอัตราผู้สูบบุหรี่ให้ได้ตามแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ พ.ศ.2559-2562 และเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 โดยมีสาธารณสุขอำเภอทั่วประเทศ 878 คน แกนนำอาสาสมัครสาธารณสุข (อสส.) จากกรุงเทพมหานคร (กทม.) 50 คน และประธานอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ทั่วประเทศ 952 คน เข้าร่วมงาน ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กทม.
นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข ปลัด สธ. กล่าวว่า ประเทศไทยจะต้องลดผู้สูบบุหรี่ให้ได้ไม่น้อยกว่า 3.5 ล้านคน ภายในระยะเวลา 15 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์การอนามัยโลกที่ประเทศทั่วโลก คือ ต้องลดอัตราการสูบบุหรี่ลงร้อยละ 30 ให้ได้ภายในปี 2568 ทำให้ สธ.ได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ ฉบับที่ 2 ขึ้น ระหว่างปี 2559-2562 เพื่อลดผู้สูบบุหรี่ให้ได้ตามเป้าหมายจากปี 2558 ร้อยละ 19.9 เป็นร้อยละ 16.7 ภายในปี 2562 หรือประมาณ 1.8 ล้านคน ด้วยการทำงานในรูปแบบใหม่ สธ.และ สสส.จึงได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายทำงานผ่านระบบ อสส.และ อสม. ปัจจุบันมีจำนวนกว่า 1 ล้านคน ด้วยการชักชวน เชิญชวน ท้าชวน ผู้คนในชุมชนให้เลิกบุหรี่ โดยไม่ต้องรอให้ ผู้สูบบุหรี่มาขอรับการรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งปีนี้จะเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่ 1 คน ต้องช่วยให้คนเลิกบุหรี่ได้ 3-5 คน พร้อมตั้งเป้าให้มีผู้เลิกบุหรี่ 3 ล้านคน ภายใน 3 ปี
"ปีแรกเป็นปีของการจัดระบบโครงการ จึงเชิญชวนให้ผู้สูบบุหรี่เข้าร่วมโครงการได้ 600,000 คน โดยมีเพียง 100,000 คน ที่เลิกบุหรี่สำเร็จ อย่างไรก็ตามถือเป็นยอดผู้เลิกบุหรี่ที่สูงที่สุดในรอบ 30 ปี อดีตประเทศไทยทำให้ผู้คนเลิกบุหรี่ได้เพียงปีละ 30,000 คนเท่านั้น ถือเป็นพัฒนาการที่น่าพอใจ และจำเป็นต้องขับเคลื่อนโครงการต่อไป" นพ.เจษฎากล่าว
นพ.บัณฑิต ศรไพศาล รองผู้จัดการ สสส. กล่าวว่า เป้าหมายของโครงการคือต้องการผู้เลิกบุหรี่ ไม่ใช่เพียงแต่เข้าร่วมโครงการ โดยการตั้งเป้า 3 ล้านคน ถือเป็นตัวเลขที่มาก ในปีแรกยังมีตัวเลข ผู้เลิกสูบบุหรี่ไม่มากนักเพราะต้องจัดระบบ แต่ในปีต่อไปทาง สสส.เชื่อว่าตัวเลขจะก้าวกระโดด แม้การเก็บภาษียาสูบเองจะช่วยให้คนเลิกบุหรี่ได้ แต่เป็นผลระยะไกลเลิกไม่ได้ทันที ฉะนั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับปีนี้การทำงานจะเข้มข้นผ่านการจัดประชุมชี้แจงแก่สาธารณสุขอำเภอและผู้ปฏิบัติการจริง ต่างจากปีแรกที่ไม่มีการสื่อสารโดยตรง ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม เห็นชอบหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) เป็นกลไกใหม่ให้นายอำเภอเป็นประธาน จะช่วยให้เกิดการบูรณาการและระดมทรัพยากรที่มีอยู่ในอำเภอ ช่วยขับเคลื่อนโครงการได้อย่างเต็มที่ ไม่เพียงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของภาคสาธารณสุขเพียงผู้เดียว ขณะเดียวกันทาง สธ.ได้รับปากว่าจะติดตามความคืบหน้าโครงการทุก 3 เดือน เป็นโอกาสให้คนเลิกบุหรี่สำเร็จตามเป้าหมายมากขึ้น
"ทาง สสส.จะนำแบนเนอร์ไปติดตั้งทุกโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้เห็นเด่นชัด จนคนอยากเดินมาร่วมโครงการ พร้อมสนับสนุนภาคี เครือข่ายในการรณรงค์ตามเทศกาล ได้แก่ เลิกบุหรี่เพื่อลูกวันเด็กเดือนมกราคม เลิกบุหรี่เพื่อคนที่เรารักเดือนกุมภาพันธ์ ผู้หญิงเลิกบุหรี่วันสตรีสากลเดือนมีนาคม เลิกบุหรี่เพื่อครอบครัวเดือนเมษายน เลิกบุหรี่ในโอกาสวันงดสูบบุหรี่โลกเดือนพฤษภาคม เลิกบุหรี่ป้องกันการติดยาเสพติดเดือนมิถุนายน เลิกบุหรี่-เหล้าเข้าพรรษาเดือนกรกฎาคม เลิกบุหรี่เพื่อแม่เดือนสิงหาคม เลิกบุหรี่เพื่อพ่อเดือนธันวาคม และเลิกบุหรี่ปีใหม่สู่ชีวิตที่ดีกว่าเดือนธันวาคม-มกราคม รวมถึงประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางออนไลน์" นพ.บัณฑิตกล่าว
นางอำนวย สุทัตโต อาสาสมัครสาธารณสุขดีเด่น (ระดับหมู่บ้าน) ต.บ้านใหม่ จ.ปทุมธานี เล่าถึงความสำเร็จการดำเนินงานโครงการว่า เริ่มแรกได้สำรวจข้อมูลผู้สูบบุหรี่ในพื้นที่ชุมชน เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์ จากนั้นริเริ่มโครงการเลิกบุหรี่กับกระดาษแผ่นเดียว โดยให้ อสม.หรือครอบครัวที่มีผู้สูบบุหรี่ภายในบ้าน ต่อมาให้คิดสโลแกน ติดรูปครอบครัว ส่งข้อมูลต่อไปยัง รพ.สต. และนำไปติดบริเวณที่สูบบุหรี่ วิธีนี้ช่วยดึงคนที่อยากเลิกบุหรี่เดินมาหา อสม.เอง จากนั้นจะให้คำแนะเบื้องต้น คือ 1.พกน้ำยาบ้วนปากติดตัว หากอยากบุหรี่ให้อมน้ำยาบ้วนปาก 2.พบเห็นคนสูบบุหรี่ ให้เมินหน้าหนี 3.อยากบุหรี่ให้อมลูกอมหรือหมากฝรั่ง และ 4.ให้คนในครอบครัวดูแลเอาใจใส่ผู้เลิกบุหรี่ระยะแรก เพราะจะหงุดหงิดง่าย ให้หาของเปรี้ยวหรือน้ำมะนาวให้ทาน ตลอดจนการติดป้ายชักชวนให้ผู้คนเห็นชัด กระทั่งมี ผู้สูบบุหรี่เดินมาขอเลิกบุหรี่เอง ภายใน 2-3 เดือน
"หัวใจหลักการทำงาน คือ ทุกอย่างต้องเริ่มจาก อสม.ที่ต้องเป็นแบบอย่างของประชาชน หากจะดูแลชุมชนด้านสุขภาพ ต้องดูแลตนเอง และทำงานสู้อย่างไม่ถอย หากก้าวมาแล้วต้องทำให้สำเร็จ โดยผลที่จะตอบกลับมา คือ สุขภาพที่ดีของคนในชุมชน ทั้งนี้ ยังได้ร่วมมือกับโรงเรียน สำรวจผู้สูบบุหรี่จากเด็กนักเรียน เพื่อให้ อสม.ลงสำรวจครอบครัว และสอนให้เด็กแนะนำพ่อแม่บอกให้เลิกบุหรี่ หากอยากเลิกให้บอกเด็ก เพื่อนำมาบอกครูก่อน อสม.จะลงพื้นที่ให้ช่วยเลิกบุหรี่" นางอำนวยกล่าว
เช่นเดียวกันกับ นางสมศรี โพธิ์ประสิทธิ์ ผู้อำนวยการ รพ.สต.ดอนทราย จ.ราชบุรี เล่าว่า การขับเคลื่อนโครงการ อสส.และ อสม.ต้องเริ่มจากความตั้งใจ การทำเพื่อประชาชน และความภาคภูมิใจของการเป็นส่วนหนึ่งทำให้รัฐประหยัดงบประมาณจากการรักษาโรคที่มีสาเหตุมาจากบุหรี่ สิ่งสำคัญ คือ ให้ อสม.เห็นว่าการเลิกสูบบุหรี่สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้ จากนั้นจึงให้ อสม.ในพื้นที่ไปเรียนนวดกดจุด ลดอาการอยากบุหรี่ ช่วงแรกให้ทดลองในครอบครัว ก่อนนำไปใช้กับคนในชุมชนจนประสบความสำเร็จ สามารถลดผู้สูบบุหรี่ได้ถึงร้อยละ 30 ตามองค์การอนามัยโลกกำหนด
"ปัจจุบัน อสม. 200 กว่าคน สามารถทำให้คนในพื้นที่เลิกบุหรี่ได้ 2,000 คน และยังได้ขยายพื้นที่ไปตามแนวคิด 'บวร' บ้าน วัด โรงเรียน อาทิ ในเด็กและเยาวชน ได้จัดกิจกรรมเกี่ยวกับกีฬา ส่งเสริมเยาวชนเลิกบุหรี่ ช่วยลดการสูบบุหรี่ในเยาวชนได้ถึงร้อยละ 60 หลายคนมีเสียงตอบรับที่ดีจากโครงการ บ้างก็ส่งจดหมายมาขอบคุณที่ทำให้ชีวิตพวกเขาดีขึ้นหลังเลิกบุหรี่ ส่วนนี้เองทำให้ทาง รพ.สต.ภาคภูมิใจและอยากขับเคลื่อนโครงการต่อไป" ผอ.รพ.สต.เล่า