เข้มงวดจับกุมคนผิด เพื่อลดอุบัติเหตุท้องถนน
เมาไม่ขับ หนุนโครงการให้เงินรางวัลเจ้าหน้าที่จับประชาชนที่เสนอสินบน หวังลดการสูญเสียจากอุบัติเหตุ
นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขามูลนิธิเมาไม่ขับ ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ว่า จากการที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้มีโครงการให้เงินรางวัลแก่เจ้าหน้าที่ที่จับประชาชนเสนอให้สินบนแลกกับการไม่ถูกดำเนินคดีนั้น ทางมูลนิธิฯเห็นว่าเป็นการริเริ่มที่จะทำให้สังคมดีขึ้น ดีกว่าที่จะไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรเลย แม้จะมีการวิพากษ์วิจารณ์กัน แต่เชื่อว่าจะทำให้พฤติกรรมการให้สินบนและรับสินบนลดน้อยลง
ดังนั้น ทางมูลนิธิฯ ในฐานะหน่วยงานรณรงค์ลดอุบัติเหตุจากผู้ขับขี่เมาไม่ขับจึงเห็นด้วยที่จะให้เงินรางวัลเพื่อลดการสูญเสียจากอุบัติเหตุทางท้องถนนกรณีของผู้ที่เมาแล้วขับ โดยให้เงินรางวัล 1 หมื่นบาท ทั้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สามารถจับคนเมาที่เสนอให้สินบนเพื่อที่จะไม่ถูกดำเนินคดีเมาแล้วขับและให้เงิน 1หมื่นบาท กับประชาชนที่สามารถบันทึกภาพหรือมีหลักฐานชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่มีการเรียกรับสินบนในคดีเมาแล้วขับ ซึ่งเป็นการให้รางวัลทั้ง 2ฝ่าย ทั้งนี้ ได้มีการหารือกับ พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รอง ผบช.น.ดูแลงานจราจรในเบื้องต้นแล้วและจะมีการประกาศสนับสนุนต่อไป
ด้าน พล.ต.ต.อดุลย์ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.สมยศพุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) มีนโยบายมุ่งลดปัญหาอุบัติเหตุให้มากที่สุด โดย บช.น.จะจัดตั้งศูนย์บูรณาการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุในกรุงเทพฯ รวบรวมสถิติการเกิดอุบัติเหตุทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ อย่างเป็นระบบและนำมาวิเคราะห์ข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่ซึ่ง กทม.เป็นเมืองที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุดของประเทศโดยจะตั้งที่กองบังคับการตำรวจจราจร(บก.จร.)ได้รับความร่วมมือจากสำนักงานกองทุนสนันสนุนการส่งเสริมสุขภาพ(สสส.) ในการสนันสนุนงบประมาณจำนวน 25 ล้านบาทเพื่อจัดทำระบบและอุปกรณ์ต่างๆจะเปิดทำการในวันที่ 16 ตุลาคมนี้
พล.ต.ต.อดุลย์ กล่าวด้วยว่า บช.น.จะเข้มงวดดำเนินการจับกุมผู้กระทำผิดใน 3 ข้อหาที่ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนมากที่สุดคือ 1.ไม่สวมหมวกกันน็อกมีโทษปรับไม่เกิน 500บาท2.เมาแล้วขับซึ่งมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาทและจำคุกไม่เกิน 1 ปีและ 3.ขับรถเร็วเกินอัตราที่กำหนดซึ่งในพื้นที่เขตเมืองจะต้องไม่เกิน 80 กม.ต่อ ชม.ส่วนพื้นที่นอกจะต้องไม่เกิน 90 กม.ต่อ ชม. หากฝ่าฝืนจะมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท เริ่มกวดขันอย่างเด็ดขาดตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคมนี้
ที่มา: เว็บไซต์แนวหน้า
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต