เกษตรยั่งยืนเพื่อสุขภาวะที่ดีของชาวนา
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวทีชวนคิด “บทบาทของชุมชนท้องถิ่นในการปฏิรูประบบเกษตรกรรมโดยใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง โดยมีเกษตรกรเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) แม่ข่ายทั่วประเทศ เข้าร่วมประชุม
นายภาคภูมิ อินทร์แป้น แกนนำชุมชน ต.ทมอ อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ กล่าวว่า ปัญหาเรื้อรังที่ชาวนาต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบันคือ หนี้สินโดยเฉพาะหนี้ในระบบ จากเดิมเมื่อ 4-5 ปีก่อนเป็นหนี้ เฉลี่ยครัวเรือนละ 50,000 บาท แต่ปัจจุบันเป็นหนี้ราว ครัวเรือนละ 1 แสนบาท เพิ่มขึ้นถึง 1 เท่าตัว ยิ่งสถาบันการเงินเพิ่มวงเงินกู้ให้เกษตรกรมากเท่าไหร่ ก็จะเป็นหนี้มากขึ้น เพราะส่วนใหญ่กู้เต็มเพดาน การเป็นหนี้สะสมส่วนใหญ่เกิดจากการไม่พึ่งตนเองคือ ต้องการเร่งผลผลิต โดยซื้อยากำจัดวัชพืช หรือฮอร์โมนเพิ่มผลผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซื้อเมล็ดพันธุ์ที่มีคำโฆษณาว่าได้ผลผลิตสูงทั้ง ๆ ที่เกษตรกรสามารถจัดการเมล็ดพันธุ์และเพิ่มผลผลิตให้สูงได้ด้วยการปรับปรุงดิน เอาใจใส่ในการจัดการดูแล ไม่ต้องเสียเงินค่าต้นทุนเหล่านี้
“ทางออกที่ดีที่สุดของชาวนาคือ การทำเกษตรยั่งยืน/เกษตรพอเพียง ที่เน้นการพึ่งตนเอง ทั้งเรื่องเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย แม้ผลผลิตจะขายได้ในราคาไม่สูงแต่ต้นทุนต่ำ อย่างตนเองทำนาเกษตรอินทรีย์มีผลผลิตเฉลี่ย 20 ตันต่อแปลงนา ขายได้ราคา 21 บาทต่อกิโลกรัม รวม 21,000 บาทต่อตัน สูงกว่าราคารับจำนำ 15,000 บาท” นายภาคภูมิ กล่าว
นายทวีป จูมั่น อดีต นายก อบต.หัวไผ่ ต.หัวไผ่ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี กล่าวว่า ระบบการจัดการน้ำแม้จะอยู่ในเขตชลประทานแต่ก็มีปัญหาน้ำไม่เพียงพอ ถือเป็นปัญหาเรื้อรังที่เกษตรกรโดยเฉพาะชาวนาในพื้นที่ต้องประสบมาตลอด เนื่องจากการจัดระบบชลประทานไม่สอดคล้องกับสภาพจริงของพื้นที่ การแก้ปัญหาในเรื่องนี้ควรใช้ระบบชลประทานจากข้างล่าง ให้ระดับพื้นที่เป็นคนตัดสินใจในการเปิด-ปิดน้ำในระบบชลประทานของพื้นที่ ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรมีน้ำใช้จริง ตรงเวลา และควบคุมให้มีการทำนาได้ปีละ 2 ครั้ง
น.ส.ทัศนีย์ วีระกันต์ ผู้จัดการแผนงานส่งเสริมการพัฒนาระบบเพื่อคุณภาพชีวิตเกษตรกร กล่าวว่า ปัญหาของเกษตรเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง มีการเปลี่ยนระบบเกษตรจากแบบพึ่งตนเองกลายเป็นแบบการตลาด เพื่อให้อาหารและผลการเกษตรมีราคาถูก ขณะที่เกษตรกรต้องแบกรับความเสี่ยงไว้เองทั้งหมด ซึ่งการทำการเกษตรต้องพึ่งธรรมชาติอย่างมาก จึงเกิดความไม่เป็นธรรมกับเกษตรกร ทำให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดีและไม่มีสุขภาวะ ส่วนโครงการรับจำนำข้าว ไม่ใช่มีเงินสำรองเพียงพอหรือไม่ แต่อยู่ที่การบริหารจัดการงบประมาณที่ไม่ดีพอ เมื่อชาวนาแห่ไปเข้าโครงการรับจำนำข้าวแบบเทหมดหน้าตักเพราะเชื่อถือรัฐบาล แต่ทันทีที่รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพทางการเงิน ทำให้ชาวนาไม่มีเงินใช้จ่ายในครัวเรือนที่เพียงพอ การแก้ปัญหาต้องใช้ระบบ CSA (Community Support Agriculture) ให้ชุมชนมาเป็นผู้ลงทุนการเกษตรและแบกรับความเสี่ยงร่วมกัน โดยประกันความเสี่ยงให้กับชาวนา
ผู้จัดการแผนงานส่งเสริมการพัฒนาระบบเพื่อคุณภาพชีวิตเกษตรกร ให้ข้อเสนอว่า แนวทางการช่วยเกษตรกรอย่างได้ผลคือ แนวทางเกษตรกรรมยั่งยืน เป็นการเปลี่ยนวิธีคิด จากทำการเกษตรเพื่อขาย แต่เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางอาหารและตนเอง โดย 1. เปลี่ยนปัจจัยการผลิตให้เกื้อกูลของระบบการผลิต ปลูกพืชหลากหลายและสร้างอาหารให้ครัวเรือนและชุมชน และ 2. เปลี่ยนตลาด ให้ผู้ผลิตเชื่อมโยงกับผู้บริโภค สร้างความเข้าใจในกันและกัน ราคาขายสมเหตุผลขณะเดียวกันสินค้ามีคุณภาพ และสร้างภูมิคุ้มกันต่อนโยบายรัฐ หากชุมชนมีการจัดตั้งกองทุนชุมชน รับซื้อผลผลิตในราคาที่เป็นธรรม ช่วยให้เกิดการพึ่งตนเอง
“ชุมชนท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญในการปฏิรูประบบเกษตรกรรม การประชุมครั้งนี้ เป็นการร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความรู้ปัญหาอุปสรรคของการปฏิรูประบบเกษตรกรรมโดยใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง เพื่อให้ชุมชนรู้จักตัวเองมากขึ้น ที่สำคัญคือปัญหาเร่งด่วนจากนโยบายรับจำนำข้าว โจทย์ใหญ่คือ จะช่วยเหลือชาวนาให้ทำนาต่อได้อย่างไร ควรให้ อปท. เป็นหน่วยสำคัญในการบริหารจัดการในพื้นที่ เพราะอยู่ใกล้เกษตรกรมากที่สุด เกษตรกรสามารถปรึกษาปัญหาได้ทันที”ดวงพร เฮงบุณยพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สำนัก 3) สสส. กล่าวทิ้งท้าย
ที่ผ่านแม้รัฐบาลนี้เคยชูนโยบายเกษตรอินทรีย์แต่ไม่มีการสานต่ออย่างเป็นระบบ ขาดกลไกตลาด ขาดการสนับสนุนและที่สำคัญรัฐยังปล่อยให้มีการขึ้นทะเบียนสารเคมีได้ง่ายมีกลุ่มพ่อค้าผูกขาดเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ขณะนี้มีสารเคมีขึ้นทะเบียนทั้งหมด 27,000 รายการ จนประเทศไทยได้ชื่อว่ามีตลาดการค้าสารเคมีมากที่สุดในโลก มีข้อสังเกตว่าโครงการจำนำข้าวที่เกี่ยวข้องอาจสอดคล้องกับการขับเคลื่อนให้ตลาดการค้าสารเคมีในประเทศเติบโต ด้วยสภาพคล่องของการขายข้าวได้ราคาในช่วงแรกจนเป็นข้อจูงใจให้ชาวนากล้าลงทุนซื้อปุ๋ยยา เม็ดเงินกว่าครึ่งไปลงที่บริษัทปุ๋ยยาเมล็ดพันธุ์ มีคำถามตามเงินประกันราคาข้าวเข้ากระเป๋าชาวนาสักกี่บาททั้งที่ลงทุนลงแรงไปมากโข
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์