“อุบัติเหตุ” ต้นตอความสูญเสีย “ทุกเทศกาล”

แนะมีสติก่อนสตาร์ททุกครั้ง

“อุบัติเหตุ” ต้นตอความสูญเสีย “ทุกเทศกาล”

ใกล้ปีใหม่เข้ามาทุกที …ดูเหมือนว่าบรรยากาศแห่งความสุขกำลังกำลังฟุ้งกระจายไปทั่ว หลายๆ คนถึงกับไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำงาน… เพราะอย่างที่รู้กันว่า เทศกาลขึ้นปีใหม่ จะมีวันหยุดพักผ่อนยาวหลังจากการทำงานอันแสนเหน็ดเหนื่อยมาเกือบทั้งปี หลายครอบครัวกำลังเพลิดเพลินกับการเตรียมหาสถานที่เที่ยวฉลองปีใหม่ แต่!!! ภายใต้ความสุขที่กำลังจะมาเยือนนี้ ในมุมกลับกันสิ่งที่พบเจอในปีที่ผ่านมากลับมีแต่ข่าว ความสูญเสีย โดยสาเหตุส่วนใหญ่จะมาจาก อุบัติเหตุ แทบทั้งสิ้น

 

            โดยสถิติอุบัติเหตุทางถนนของ ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ที่ผ่านมาพบว่า มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลปีใหม่ 52 รวมทั้งหมด 3,824 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 367 คน มีผู้บาดเจ็บ 4,107 คน ซึ่งในช่วงดังกล่าวนี้ จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูงกว่าช่วงปกติ 2 เท่า ระหว่างปี 2550 2552 พบว่า ในช่วงปกติจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเฉลี่ยวันละ 280 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยวันละ 35 คน ในขณะที่ช่วงเทศกาลปีใหม่มีอุบัติเหตุเฉลี่ยวันละ 607 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยวันละ 58 คน ถึงแม้แนวโน้มตัวเลขจะลดลง แต่ก็ถือเป็นจำนวนที่สูงมากอยู่…

 

            โดย รถจักรยานยนต์ ยังคงครองแชมป์ยานพาหนะพาคนสู่ความตายมากที่สุด ถึงร้อยละ 84 โดยในปี 51 มีผู้ขับขี่จักรยานยนต์เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทั้งปี 8,000 คน ในจำนวนนี้ร้อยละ 20 เป็นนักเรียนนักศึกษา ซึ่งผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์นั้นมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงถึงตายสูงกว่าการเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทางถึง 750 เท่าและสูงกว่ารถไฟ 1,500 เท่าอีกด้วย รองลงมา คือ รถปิกอัพ ร้อยละ 7%

 

เรื่องซ้ำซาก!!! เมื่อต้นตอสำคัญที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ก็ยังคงไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ไหน ยังคงเป็นเรื่องเดิมๆ อย่างการ เมาสุรา ขณะขับรถ ถึงร้อยละ 41 ตามมาด้วย การขับรถเร็ว ร้อยละ 23…

 

 

            ซึ่งการเกิดอุบัติเหตุที่ว่านี้… ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นนอกทางหลวงแผ่นดิน ถึงร้อยละ 66.19 โดยเกิดบนถนน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 34.13 และช่วงเวลาแห่งการสูญเสียสูงที่สุด คือ เวลากลางคืน ประมาณ 16.00 04.00 น. ถึงร้อยละ 67.42 โดยวันที่มักจะเกิดเหตุสูญเสีย ได้แก่ วันสิ้นปีอย่างวันที่ 31 ธันวาคม ซึ่งช่วงอายุของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง ช่วงวัยแรงงาน ประมาณร้อยละ 54.81

 

            อุบัติเหตุ!!! ไม่ใช่เพียงการสูญเสียอวัยวะภายในร่างกายหรือชีวิตแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงทรัพย์สิน เงินทอง ล่าสุด!!! ผลงานวิจัยของกระทรวงคมนาคมประมาณการว่า อุบัติเหตุทางถนนได้สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศสูงกว่า 2 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.8 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (จีดีพี) ซึ่งหากใช้เกณฑ์ที่ประเทศสากลยอมรับ ตัวเลขความเสียหายเรื่องนี้ไม่ควรจะเกินร้อยละ 1 ซึ่งประเทศเราเกินมาถึง 1.8…

 

เป็นที่น่าตกใจ…เมื่อพบว่าใน  1 วัน มีคนไทยที่ออกสตาร์ทรถแล้วเสียชีวิตจากการใช้รถใช้ถนนสูงถึง 36 – 50 คน โดยสาเหตุอันดับต้นๆ คือ

   

ดื่มแล้วขับ

 

เมื่อแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกาย จะส่งผลต่อการขับขี่ยานพาหนะ โดยทำให้ความสามารถในการตัดสินใจ ปฏิกิริยาตอบสนองช้าลง มองเห็นในเวลากลางคืนลดลง เกิดทันเนลวิชชั่น (Tunnel Vision) คือ การที่ช่วงกว้างในการมองเห็นถูกจำกัด ความสามารถในการบังคับการเคลื่อนไหวของอุปกรณ์และร่างกายลดลง ความสนใจต่อเหตุการณ์เบื้องหน้าน้อยลง ซึ่งกฎหมายห้ามผู้เมาสุราขับรถ โดยกำหนดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดไว้ที่ 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์

 

ดื่มแล้วขับ ถูกจับขึ้นศาล มีสิทธิ์ติดคุก

 

ผู้ที่ดื่มแล้วขับ และถูกตรวจพบว่ามีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับตั้งแต่ 2,000 – 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับหรือศาลอาจสั่งให้ถูกคุมประพฤติ ทำงานบริการสังคม

 

ในส่วนที่ถูกคุมความประพฤติ จะต้องถูกยึดใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 2 เดือนและต้องทำงานบริการสังคม ต้องเข้ารับการอบรมในหลักสูตร การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ภายใต้การดูแลของเจ้าพนักงานคุมประพฤติ

 

กรณีที่ดื่มแล้วขับ ทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายบาดเจ็บสาหัสนั้น มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และที่ร้ายแรงที่สุดคือ ดื่มแล้วขับ ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 20,000 บาท

 

แบบนี้ คุณยังจะดื่มอีกมั้ย!!! หยุดเถอะครับ เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง

 

 

ขับรถเร็ว

 

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนอกจากการดื่มสุราแล้ว ต้นเหตุอันดับต้นๆ ก็คงจะเป็นการขับรถเร็ว อาจมีสาเหตุมาจากดื่มสุรา ความคึกคะนองของวัยรุ่นด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อเปรียบเทียบอัตราความเร็วกับการเกิดอุบัติเหตุ พบว่า หากรถวิ่งด้วยความเร็ว 80 กม./ ชม. แล้วเกิดการชนกันขึ้น แรงจากการชนเท่ากับรถที่ตกจากที่สูง 25 เมตร หรือ ประมาณตึก 8 ชั้น หากรถวิ่งด้วยความเร็ว 100 กม./ ชม. เท่ากับรถที่ตกจากที่สูง 39 เมตร หรือ ประมาณตึก 13 ชั้น หากรถวิ่งด้วยความเร็ว 120 กม./ ชม. เท่ากับรถที่ตกจากที่สูง 56 เมตร หรือ ประมาณตึก 19 ชั้น

 

ซึ่งความเร็วที่คนปกติใช้ขับขี่บนท้องถนน ก็อยู่ราวประมาณ 90 – 120 กม./ชม. หากเกิดการชนกันเหมือนตกตึก 19 ชั้น แล้วจะรอดได้อย่างไร ????

 

ยิ่งเร็ว ยิ่งเสี่ยง

 

ในทางกฎหมายได้กำหนดความเร็วของรถแต่ละประเภท ไว้ดังนี้

 







ประเภทของรถ

นอกเขตเทศบาล

ในเขตเทศบาล

รถบรรทุกที่มีน้ำหนักรถ+น้ำหนักบรรทุกเกิน 1,200 กก. ขึ้นไป

รถโดยสาร         

80 กม. / ชั่วโมง

60 กม. / ชั่วโมง

รถลากจูง

รถพ่วงรถยนต์บรรทุก

รถสามล้อ

60 กม. / ชั่วโมง

45 กม. / ชั่วโมง

รถยนต์เก๋ง

รถจักรยานยนต์   

80 กม. / ชั่วโมง

60 กม. / ชั่วโมง

 

 

โทรแล้วขับ…!!!

 

            การคุยโทรศัพท์ขณะขับรถก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ จนต้องออกมาเป็นกฎหมายบังคับใช้ เพราะขณะเราคุยโทรศัพท์นั้น สมาธิในการขับขี่รถของเรานั้นจะลดลง ร่วมถึงการจดจำป้ายจราจรก็ลดลงด้วย ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอุบัติเหตุ

 

โทรแล้วขับ…ถูกจับแน่ !!!

 

            ตามกฎหมายบังคับใช้ ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถยนต์ เว้นแต่ใช้อุปกรณ์เสริม หากฝ่าฝืนมีโทษปรับตั้งแต่ 400 1,000 บาท หากพบว่าใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถยนต์ หรือขี่จักรยานยนต์จะถูกจับกุมทันที  ส่วนจุดที่มีการติดตั้งกล้องถ่ายภาพเป็นหลักฐานสามารถนำส่งพนักงานสอบสวน สน.ท้องที่ ออกหมายเรียกผู้ต้องหาถึงบ้านและนำตัวมาดำเนินคดีได้ในภายหลัง…

 

ง่วงแล้วขับ

 

            อาการง่วง ต้นเหตุที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนหากคุณหลับเพียงเวลา 35 วินาที รถจะวิ่งโดยปราศจากการควบคุมไปกว่า 100 เมตร ซึ่งมีความเสี่ยงในการพุ่งชนประสานงากับรถคันอื่น คนข้างถนน หรือเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงอื่นๆ จากสถิติการเกิดอุบัติเหตุจำแนกตามสาเหตุสำคัญของตำรวจทางหลวงพบว่า ปี 48 หลับใน 22 ราย, ปี 49 หลับในถึง 35 ราย คิดเป็นเปอร์เซ็นต์เพิ่มถึง 59 %

 

วูบเดียว…โดนแน่

 

ตามประมวลฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ขนส่งทางบก 2522 ระบุว่าผู้ขับขี่รถขณะร่างกายหรือจิตใจหย่อนความสามารถมีความผิดตาม ม.103  มีบทลงโทษปรับไม่เกิน 5,000 บ.

 

            เมื่อรู้ถึงสาเหตุทั้งหมดของการเกิดอุบัติเหตุส่วนใหญ่บนท้องถนนกันแล้ว ก็ควรหาวิธีป้องกันเสียนะคะ ด้วยการเตรียมตัวให้พร้อม ตั้งสติก่อนสตาร์ท ดื่มไม่ขับ ขับไม่ซิ่ง ง่วงไม่ขับ โทรไม่ขับและที่สำคัญอย่าประมาทเป็นอันขาด เพียงแค่นี้เทศกาลแห่งความสุขก็จะไม่มีการสูญเสียอีกต่อไป…

 

 

 

 

 

เรื่องโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ team content www.thaihealth.or.th

 

 

Update:25-12-52

อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่

Shares:
QR Code :
QR Code