อาการโรคหืด คล้ายโควิด -19 แต่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง
ที่มา : สมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย
ภาพประกอบจาก สมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทยและแฟ้มภาพ
แพทย์ชี้อาการ “โรคหืด” คล้ายโควิด -19 แต่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง เตือนบางรายมีอาการโรคหืดโดยไม่รู้ตัว ผุดแคมเปญ #AdayinAlifeChallenge ให้กำลังใจคนไข้โรคหืดต้องใช้ยาต่อเนื่อง เลี่ยงมารพ.ในภาวะโควิด-19 พร้อมเผยสถิติโรคหืดคร่าชีวิตคนไทยยังพุ่งปีละเกือบ 7 พันคน
วันโรคหืดโลก หรือ world asthma day มีขึ้นครั้งแรกในปีพ.ศ. 2541 โดยองค์การอนามัยโลกและองค์การหืดโลก Global Initiative for Asthma ซึ่งมีขึ้นในวันอังคารแรกของเดือนพฤษภาคม ของทุกปี ปีนี้ตรงกับ 5 พ.ค. 2563 ภายใต้แนวคิดว่า enough asthma death เพื่อลดการเสียชีวิตจากโรคหืด เพื่อกระตุ้นให้บุคคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วยและครอบครัว ได้ตระหนักถึงความสำคัญ สร้างความตื่นตัว ทราบอาการของโรค การรักษา ป้องกัน เพื่อลดการผลกระทบและการเสียชีวิตจากโรคหืด
ข้อมูลขององค์การอนามัยโลกล่าสุดในปี 2017 พบคนไทยเสียชีวิตจากโรคหืดถึง 6,808 ราย โดยคิดเป็น 7.76 รายต่อประชากร 1 แสนคน หรือ 1.3% ของคนที่เสียชีวิตทั้งหมด เมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลการเสียชีวิตจากโรคนี้ในระดับโลกแล้วพบว่า ประเทศไทยจัดเป็นอันดับที่ 76 ของโลก โดยเป็นอันดับที่ 5 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลการเสียชีวิตของคนไทยจากโรคอื่นๆ พบว่าโรคหืดเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในคนไทยเป็นอันดับที่ 19 โดยอันดับที่ 1-3 คือ หลอดเลือดหัวใจ ไข้หวัดใหญ่/ปอดบวม และโรคหลอดเลือดสมอง ตามลำดับ (ที่มา: worldlifeexpectancy.com)
สมาคมสภาองค์กรโรคหืดฯ มีคำแนะนำวิธีสังเกตตัวเองว่าเป็นโรคหืด หรือไม่ ด้วยคำถามง่ายๆ ดังนี้
- ท่านเคยมีอาการเหนื่อย หายใจเสียงดังหวีด แน่นหน้าอก ไอเป็นๆ หายๆ ในช่วงเช้า/กลางคืน หรือเมื่อมีสิ่งกระตุ้น เช่น ฝุ่นควัน อากาศเย็น ขนแมวหรือขนสุนัข การออกกำลังกาย หรือไม่ ?
- ท่านเคยนอนไม่หลับหรือต้องตื่นขึ้นมาเนื่องจากไอ, หายใจติดขัด, แน่นหน้าอก ที่ไม่ได้เกิดจากไข้หวัดหรือไม่ ?
- ท่านเคยมีอาการหอบหืดหรือไม่ ? (หายใจหอบ, หายใจเสียงดังวี๊ดๆ, หายใจไม่ทัน, หายใจไม่เต็มอิ่ม, ไอเป็นชุดๆ)
- ท่านเคยใช้ยาเพื่อระงับอาการหอบหืดหรือไม่ ?
นายกสมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย ศ.พญ.อรพรรณ โพชนุกูล กล่าวว่า อัตราการเสียชีวิตในไทยปีละ 7,000คน ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก เพราะว่าโรคนี้สามารถรักษาได้ หายได้ ถ้ารักษาเร็ว มีโอกาสหายได้สูง จากเดิมผู้ป่วยมักจะเข้าใจว่าเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย ทำให้ขาดการใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการรักษาอาการ คนไข้จะต้องมียาต้องติดตัว 2 ประเภทคือยาควบคุม ถ้าใช้ในระยะยาวสามารถรักษาอาการของโรคให้หายได้ และยาฉุกเฉินที่เป็นยาขยายหลอดลมตลอดถึงแม้จะไม่มีอาการ เพราะอาจเกิดอาการหอบกำเริบเมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งคนไข้ที่เสียชีวิตเพราะไม่ได้พกยาฉุกเฉิน ทำให้เสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ หรืออีกกรณีคือยาหมดอายุ (ทั่วไปมีอายุเฉลี่ย 2 ปี) เป็นหนึ่งในต้นเหตุของการเสียชีวิตจากโรคนี้
อีกความเสี่ยงของการเสียชีวิตคือปัจจัยด้านอายุ โดยทั่วไปอัตราการเสียชีวิตในผู้ใหญ่จะมากกว่าเด็กประมาณ 5 เท่า ขณะที่ยิ่งรักษาไวยิ่งหายได้ไวโดยเฉพาะในเด็ก มีโอกาสหายเกิน 50% แต่กลุ่มเสี่ยงที่สำคัญคือคนไข้ที่อายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป เพราะการพ่นยาทำได้ยากกว่า อาการรุนแรงกว่าและหลายคนชินกับอาการหอบโดยที่ไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคหืด
ภาวะอาการหอบ หลายคนจะเข้าใจว่าต้องเริ่มต้นด้วยการหอบ ซึ่งจริงๆแล้วอาการหอบ มักจะเริ่มต้นด้วย “การไอช่วงเวลากลางคืน” ดังนั้นเพื่อให้คนไข้โรคหืด ควรดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้องโดยไม่จำเป็นต้องมาโรงพยาบาล จึงได้จัดทำ แอพพลิเคชั่น “Asthma Care” เพื่อให้คนไข้สามารถสังเกตุอาการและดูแลตัวเองได้แม้ในยามฉุกเฉิน โดยมีแผนปฏิบัติการ “Asthma Action Plan” ซึ่งจะระบุวิธีสังเกตอาการ วิธีการพ่นยาด้วยตนเอง เบอร์โทรฉุกเฉิน ข้อแนะนำ ตั้งเวลาเตือน พร้อมวิดีโอประกอบ แบ่งเป็นระดับสีเขียวคือปกติ สีเหลืองคือเริ่มมีอาการแต่สามารถรักษาด้วยตัวเองได้ และสีแดงคือฉุกเฉิน รักษาด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องมาโรงพยาบาล (ต้องพ่นยาระหว่างพามาโรงพยาบาล) พร้อมมีปุ่มโทรฉุกเฉินส่งโรงพยาบาลใกล้บ้าน
และจากการศึกษาหาแนวทางที่เหมาะสม นอกจากหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการหอบได้ง่าย เช่น บุหรี่ ไรฝุ่น ฝุ่นละออง มลพิษ ความเครียด ปัจจุบันได้ประยุกต์ใช้ทฤษฎี 4Es ที่คิดค้นขึ้นมา โดยให้คนไข้หันมาใส่ใจดูแลตนเอง ได้แก่ 1.ต้องออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ (Exercise) 2.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์(Eating) 3.สิ่งแวดล้อม (Environment) คนไข้โรคหืดจะต้องหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการ และ 4.อารมณ์ความรู้สึก (Emotion) ในภาวะที่คนไข้เครียด ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน จะทำให้โรคกำเริบขึ้นมาได้ ผลจากการนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยปรากฏว่าสามารถควบคุมอาการของโรคหืดได้จริง ลดความสูญเสียที่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้
ทั้งนี้ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ด้วยอาการของคนไข้โรคหืดอาการคล้ายกับโควิด-19 แต่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง ในกรณีคนไข้โรคหืดมักมีอาการไออย่างเดียว มีน้ำมูกบ้างแต่ไม่มีไข้ ขณะที่โรคโควิด-19 มีไข้ถึง 60% เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว และอาการบ่งชี้ที่สำคัญ คือไม่ได้กลิ่นและไม่สัมผัสรส ตรวจสอบได้โดยให้คนไข้พ่นยาฉุกเฉิน ซึ่งจะต้องหายจากอาการที่เกิดจากโรคหืด หากไม่หายและมีอาการข้างต้น มีข้อแนะนำให้ตรวจหาเชื้อโควิด-19
ปัจจุบันทางสมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย ได้ออกข้อแนะนำการปฏิบัติ 5 ประการในสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 อ้างอิงตามองค์การหืดโลก ดังนี้
1.ห้ามหยุดยา-ลดยา และต้องพ่นยาอย่างสม่ำเสมอ เพราะเสียงหอบกำเริบ (ลดการมาโรงพยาบาลให้น้อยที่สุด)
2.หลีกเลี่ยงยาพ่นประเภทฝอยละออง หรือ Nebulization เนื่องจากมีโอกาสที่ผู้ป่วยโรคหืดที่ติดเชื้อโควิด-19 จะแพร่กระจายเชื้อได้ และแนะนำให้ใช้ยาพ่น MDI with spacers (อุปกรณ์พ่น) ทำให้ได้ริเริ่มโครงการ “หยุดหอบ ป้องกัน Covid-19 ด้วย Thai Kit Spacer” โดยแจกจ่ายให้กับโรงพยาบาลทั่วประเทศ 500 ถึง 600 แห่ง และยังร่วมมือกับสถาบันพลาสติกฯ ทำนวัตกรรม Spacers พ่นยาขณะใส่เครื่องช่วยหายใจ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยวิกฤติที่ต้องพ่นยารักษาโรคหืดควบคู่ด้วย หรือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์สามารถทำ DIY Spacers ใช้เองด้วยงบประมาณ 30-40 บาท ดูได้ทางเพจ Asthma Talks by Dr.Ann
3.คนไข้ต้องเข้าใจและมีแผนปฎิบัติการดูแลในยามฉุกเฉิน (Asthma Action Plan) เพื่อรู้วิธีการปฏิบัติตัวและสังเกตอาการ โดยปกติสูตรการพ่นยาฉุกเฉิน ทุก 15 นาที x 3 ครั้ง ถ้าดีขึ้นพ่นห่าง 6 – 8 ชั่วโมงจนดีขึ้นไป 2-3 วัน ซึ่งคนไข้หลายคนจำผิด หรือจำไม่ได้ว่าจะต้องดูแลตัวเองอย่างไร ต้องมีการใช้ Asthma Action Plan (ใน Application : Asthma Care) ดูแลและสังเกตอาการที่บ้าน ลดความเสี่ยงมาโรงพยาบาล คนไข้โรคหืดมาแพทย์ก็ต่อเมื่อมีอาการหอบทุกๆวัน ซึ่งหมายถึงการรักษาตัวเองไม่ดีนั่นเอง
4.หลีกเลี่ยงการทำหัตถการเป่าปอด ลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อ ถึงแม้ว่าจะพบคนไข้โรคเกิดที่ติดเชื้อโควิด-19 ไม่ได้มีจำนวนมากก็ตาม
5.การดูแลคนไข้ผ่าน Telemedicine โรคหืดสามารถที่จะตรวจดูอาการและรักษาผ่านทางไกลได้ โดยส่งยาไปที่บ้านหรือรับยาที่ร้านขายยาใกล้บ้าน
ขณะที่ รศ.นพ.ธีระศักดิ์ แก้วอมตวงศ์ เลขาธิการสมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย กล่าวย้ำว่า การที่มีผู้ป่วยเสียชีวิตจากโรคหืด เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ไม่ควรเกิดขึ้น ไม่ใช่เพียง Enough Asthma Death แต่ต้องเป็น Zero Asthma Death เพราะโรคหืดสามารถรักษาได้ ถึงแม้ปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคจะมาจากพันธุกรรมหรือสิ่งแวดล้อม ถ้าผู้ป่วยดูแลตัวเองอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ อีกทั้งคนไทยสามารถเข้าถึงยารักษาโรคหืดอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ มีสิทธิ์การเข้าถึงยาตามระบบการรักษาโรค เช่น หลักประกันสุขภาพ ฯลฯ ความสำคัญจึงอยู่ที่การบริหารการใช้ยา และความรู้ความเข้าใจโรคหืดของคนไข้เอง
ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ไทยเราพัฒนาแนวทางรักษาโรคหอบหืดที่ไม่ได้ใช้ยาพ่น เช่นยาฉีด ยาอมใต้ลิ้น การผ่าตัด ฯลฯ จากที่สมัยก่อนการปรับยาขึ้นอยู่กับแพทย์ แต่ปัจจุบันขึ้นกับอาการผู้ป่วยเป็นสำคัญ โดยผู้ป่วยมีส่วนร่มในการรักษา ดังนั้นการดูแลตัวเอง (Self Care) จึงเป็นสิ่งสำคัญ ทางสมาคมฯ จึงเตรียมการสื่อสารกับประชาชนทั่วไปผ่าน Digital Platform เร็วๆนี้ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่มีความกังวลสถานการณ์การระบาดโควิด-19
“ขณะที่ข้อมูลผู้ป่วยโรคหืดที่ติดโควิด-19 ยังมีออกมาไม่มากจากข้อมูลทางระบาดวิทยา พบว่าหืดและภูมิแพ้ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงมนการติดเชื้อโควิด 19 แต่ลักษณะอาการของหืดกำเริบและปอดติดเชื้อจากโควิด 19 อาจคล้ายกัน ซึ่งการจำแนกกลุ่มอาการของโรคอาศัยการตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิภาพในอนาคต ทางสมาคมสภาองค์กรโรคหืดฯ ได้เตรียมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างแพทย์ผู้เชียวชาญในสาขาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการดูแลโรคหืด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการวางแนวทางให้กับบุคลากรทางการแพทย์ในแขนงต่างๆ และประชาชนเร็วๆนี้”, รศ.นพ.ธีระศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้เพื่อให้กำลังใจคนไข้ที่ต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่อง ทำให้บุคลากรทางแพทย์ที่ดูแลรักษาคนไข้โรคหืด ได้ริเริ่มแคมเปญ #AdayinAlifeChallenge เพื่อส่งต่อความห่วงใยของบุคคลากรทางการแพทย์ที่มีต่อผู้ป่วยทุกคน และเป็นการ Challenge ไปยังบุคลากรทางการ แพทย์ตามโรงพยาบาลต่างๆ ตั้งแต่วันนี้จนถึง 5 พฤษภาคมนี้ เพื่อคัดเลือกและมอบ spacer ให้กับโรงพยาบาลที่เข้าร่วม และชวนบุคคลทั่วไปรับคำท้าเพื่อส่งต่อความห่วงใยไปยังผู้ป่วยโรคหืดเนื่องในวันโรคหืดสากล (World Asthma Day)
“แพทย์ย้ำโรคหืด แม้จะเรื้อรัง แต่รักษาหายได้ สิ่งที่จะทำให้หายหรือไม่ ไม่ใช่คุณหมอ แต่อยู่ที่ตัวคนไข้และครอบครัว มาร่วมหยุดการเสียชีวิตจากโรคหืด เนื่องในวันโรคหืดสากล #WorldAsthmaDay2020 ไปด้วยกัน”
ในวีดีทัศน์รณรงค์ “Enough Asthma Death” โดยสมาคมสภาองค์กรโรคหืดฯ คุณศรีสกุล ฤทธิอินทร์ ตัวแทนผู้ป่วยโรคหืด เล่าประสบการณ์ว่าเกือบตายมาหลายครั้ง ถึงขั้นหายใจไม่ออกจนต้องเข้า ICU กว่าจะผ่านช่วงเวลายากลำบากนี้มาได้ทรมานมาก จากที่ครั้งนึงเคยร่างกายเเข็งแรง อยู่มาวันนึงหายใจเหนื่อยหอบ ไม่สามารถให้ใช้ชีวิตประจำวันได้เลย ไม่กล้าแม้จะออกไปนอกบ้าน เพราะกลัวว่าจะหอบ ส่วนตัวเคยใช้ยาพ่นขยายหลอดลม 3 เวลา เช้า กลางวัน และเย็น พอคนในครอบครัวได้ยินเสียงหายใจวี๊ดๆ ลูกสาวรู้แล้วว่าต้องเอายามาให้
พร้อมแนะนำผู้ป่วยด้วยกันว่า ถ้ามีอาการรุนแรงต้องรีบปรึกษาแพทย์ และต้องใช้ยาควบคุมอาการที่แพทย์จ่าย ต้องใช้ต่อเนื่อง เช่นเดียวกับยาพ่นฉุกเฉินที่ใช้ขยายหลอดลมหรือที่เรียกกันว่า ‘ยาสูด’ อันนี้ใช้เมื่อมีอาการหอบกำเริบเท่านั้น และทุกคนต้องมีติดตัว
แม้โรคหืดกำเริบเฉียบพลันเคยเกือบคร่าชีวิตเธอมาแล้ว แต่ปัจจุบันสามารถอยู่ร่วมกับมันได้ จากที่ไม่เคยใช้บันไดขึ้นชั้น 2 ของบ้านมาร่วม 5-6 ปี ปัจจุบันสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ต้องค่อยๆเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น การจุดธูปโดยไร้ควัน หรือการดูแลตัวเอง เช่น ออกกำลังกาย ตีปิงปอง จากน้ำหนัก 60 เหลือ 48 ก.ก. ทำจิตใจให้แจ่มใสอยู่เสมอ ไม่เครียด ที่สำคัญอย่าท้อ เพราะเราเอาชนะโรค และอยู่ร่วมกับโรคนี้ได้