ห้องสมุดมีชีวิตห้องวิทย์หรรษา
“ใครก็ตามที่มีลูกมีหลาน ก็ต้องอยากให้ลูกให้หลานมีการศึกษาที่ดีทั้งนั้น แต่การศึกษาที่ดีมักมีราคาแพง คนมีฐานะดีมักนำลูกไปเรียนตามสถานศึกษาดีๆ แต่ทำอย่างไรให้ผู้ปกครองหรือเด็กนักเรียนมีความคิดว่าโรงเรียนในชุมชนของเราก็มีความพร้อมไม่แพ้ที่อื่น ทำอย่างไรให้ผู้ปกครองไม่ต้องขับรถไปรับลูกเย็นวันศุกร์และขับรถไปส่งลูกในเย็นวันอาทิตย์ เมื่อเรามีโรงเรียนที่ดีในชุมชน ก็จะไปส่งเสริมสถาบันครอบครัว ลูกไม่ต้องอยู่ไกลพ่อแม่ ซึ่งเป็นผลพลอยได้ที่เกิดขึ้น”
นั่นคือความคิดตั้งต้นที่มีต่อการศึกษาของ วันชัย นารีรักษ์ นายกเทศมนตรีเมืองวังน้ำเย็น นอกจากหลักสูตรการศึกษาที่เล็งเห็นว่า โลกในอนาคตไร้พรมแดน โรงเรียนเทศบาลเมืองวังน้ำเย็น จึงเปิดหลักสูตรภาษาจีน ภาษาเขมร เพิ่มเข้ามา
“ผมอยากให้โรงเรียนในชุมชนของเราอยู่ในใจของคนในชุมชน จึงปรับปรุงพัฒนาทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษาและหลักสูตรการเรียนการสอน จนทำให้วันนี้ของโรงเรียนเทศบาลเมืองวังน้ำเย็นมีความพร้อมให้เด็ก ทุกอย่าง เช่น ห้องวิทยาศาสตร์หรรษา ห้องสมุด มีชีวิต และเป็นแหล่งเรียนรู้อีกหนึ่งของเทศบาลวังน้ำเย็นตามโครงการตำบลสุขภาวะ ที่เปิดโอกาสให้ตำบลเครือข่ายร่วมเรียนรู้ ซึ่งสนับสนุนโดย สำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สสส.” ห้องวิทยาศาสตร์หรรษา
ห้องวิทยาศาสตร์หรรษา
เป็นแหล่งเรียนรู้ ด้านวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนเทศบาลเมืองวังน้ำเย็น หลักการทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ ถูกสาธิตผ่านเครื่องเล่นต่างๆ เช่น แม่เหล็กไฟฟ้า เก้าอี้แรงโน้มถ่วง โมเลกุล แร่ ใยแก้วนำแสง ไซคลอยด์ ฯลฯ “ในห้องวิทยาศาสตร์หรรษาเป็นแหล่งที่นักเรียนมาเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง นี่คือประเด็นหลักเลย ไม่ต้องมีครูหรือเจ้าหน้าที่มาคอยให้คำแนะนำ เพราะเครื่องเล่นในห้องวิทยาศาสตร์จะเป็นเครื่องเล่นเพื่อศึกษาหลักการทางฟิสิกส์และหลักการทางวิทยาศาสตร์ทั่วไป รวมถึงคณิตศาสตร์” ศุภโชค นันตา หัวหน้าผู้ดูแลห้องวิทยาศาสตร์หรรษา อธิบายถึงหัวใจการเรียนรู้ภายในห้องวิทยาศาสตร์หรรษา
นอกจากเครื่องเล่นต่างๆ ที่แสดงหลักการ ทางวิทยาศาสตร์แล้ว ภายในห้องยังมีหุ่นไดโนเสาร์ 2 ตัวด้วย
“ถ้าเด็กเล็กจะสนใจไดโนเสาร์ ถ้าระดับโตขึ้นมาเขาจะศึกษาหลักการวิทยาศาสตร์ผ่านเครื่องเล่น ผมคิดว่ามันเป็นประโยชน์” โรงเรียนเทศบาลเมืองวังน้ำเย็นมีนักเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมัธยมปลาย นักเรียน ม.5 เป็นเด็กโตที่สุดในโรงเรียนและทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ประจำห้องวิทยาศาสตร์หรรษาด้วย
รัตติยา วาดไธสง ครูผู้สอนวิทยาศาสตร์ประจำโรงเรียนเทศบาลเมืองวังน้ำเย็น เล่าให้ฟัง ถึงการคัดเลือกนักเรียนมาเป็นเจ้าหน้าที่ห้องวิทยาศาสตร์หรรษา นอกจากความรับผิดชอบที่นักเรียนจะได้ฝึกแล้ว นักเรียนที่ได้รับมอบหมาย ให้ดูแลห้องวิทยาศาสตร์ก็จะต้องค้นคว้าหาความรู้ เพิ่มเติมนอกจากจุดที่เขาได้รับมอบหมายให้เป็นวิทยากร จึงเป็นการศึกษาไปในตัว เจ้าหน้าที่ประจำห้องวิทยาศาสตร์หรรษาคือ บีม-จุฑาวรรณ สุขสงวน และ อีฟ-รัชดาภรณ์ ทองแบบ นักเรียนชั้น ม.5 โดยบีมจะประจำที่จุด “ไซคลอยด์” หน้าที่หลักคือการอธิบายให้ความรู้ในหลักการการทำงานของไซคลอยด์ ส่วนอีฟดูแลไดโนเสาร์ 2 ตัว ซึ่งเป็นขวัญใจรุ่นน้องวัยอนุบาล
“ตอนแรกก็ศึกษาแค่เบื้องต้น แต่เมื่อเรา ลงสนามทำหน้าที่จริง คณะที่มาดูงานจะมีคำถาม เขาก็จะถามเรา คำถามมันจะไม่ซ้ำเดิมเลย เราต้องหาคำตอบให้เขาเรื่อยๆ ก็ถือว่าเราได้ศึกษาไปด้วย”
การทำหน้าที่ดูแลจุดไซคลอยด์ ทำให้บีมได้เรียนเรื่องนี้ล่วงหน้า เพราะไซคลอยด์รอพวกเธออยู่ชั้น ม.6 ตารางการเปิดใช้งานห้องวิทยาศาสตร์หรรษาคือวันพฤหัสบดีของทุกสัปดาห์ และหากมีคณะครู-นักเรียนจากโรงเรียนอื่นขอมาดูงานก็จะมีการเปิดบริการ รวมถึงครูและนักเรียนภายในโรงเรียนที่ทำเรื่องขอใช้ห้อง ทุกครั้งที่มีการใช้ห้องวิทยาศาสตร์หรรษา ไม่ว่า จะเรียนวิชาอะไรอยู่ ทั้งบีมและอีฟก็ต้องลงมาทำหน้าที่ “ที่รู้สึกก็คือเรามีความรับผิดชอบมากขึ้น” อีฟ บอก
“ใช่ หนูก็คิดเหมือนอีฟ แต่มันมี 2 มุมอยู่แล้ว บางครั้งเราเสียเวลาเรียนในห้อง แต่เราได้ความรู้จากในนี้ และทุกครั้งที่มีคนมาที่นี่ เราก็ได้ประสบการณ์มากขึ้น” บีม บอก
ห้องสมุดมีชีวิต
ประเทศไทยเป็นประเทศที่อาภัพห้องสมุด ไม่ได้พูดเล่น สังเกตได้จากห้องสมุดประชาชนที่ขาดแคลนหนังสือและผู้ใช้บริการ
แต่ที่โรงเรียนเทศบาลเมืองวังน้ำเย็นกลับเป็นในสิ่งตรงข้าม ถัดจากห้องวิทยาศาสตร์หรรษา ก็จะพบห้องสมุดมีชีวิต ซึ่งประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก ส่วนแรกเป็นส่วนให้บริการยืมหนังสือตั้งแต่ความรู้ทางประวัติศาสตร์ สังคม ศิลปะและนันทนาการ รวมถึงนวนิยายและนิทาน
ส่วนที่สองจะเป็นมัลติมีเดีย “รังผึ้งมัลติมีเดีย” ให้ความรู้ผ่านสื่อวิดีโอ ซึ่งมีทั้งหมด 6 ช่อง นักเรียนสามารถเลือกช่องได้ตามต้องการ และการออกแบบรังผึ้งที่สร้างความเร้าใจให้เด็กนักเรียน ทั้งเด็กเล็กและโต
มุมหนึ่งของห้องมี “จออัจฉริยะ” ทาบผนัง เป็นสื่อการสอนแบบหนึ่ง มันมีหน้าตาคล้ายกระดานดำ ซึ่งสามารถใช้ปากกาเฉพาะเขียนลงไปได้เหมือนสมาร์ทโฟน และสามารถเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ตได้ “ห้องสมุดมีชีวิตคือแหล่งค้นคว้าทางวิชาการเป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ นอกจากนักเรียนในโรงเรียนแล้ว ชุมชนด้านนอกรวมทั้งคนทั่วไปในจังหวัดยังเข้ามาใช้บริการได้ด้วย รวมถึงเวลามีคนจากข้างนอกเข้ามาศึกษาดูงาน เราภูมิใจที่เด็กมีแหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษาของเรา” อาภรณ์ สว่างชื่น หัวหน้าฝ่ายบริหารวิชาการ อธิบาย นอกจากองค์ความรู้และสื่อการเรียนมัลติมีเดีย ภายในห้องสมุดมีชีวิตยังมีเรือ จำลองดึงดูดความสนใจเด็กนักเรียน บนเรือ ลำนั้นเป็นแหล่งเรียนรู้ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือเรียกกันว่า “เรืออาเซียน”
“ช่วงเที่ยงเด็กจะเข้ามาใช้บริการเยอะ เด็กบางคนก็อาศัยรังผึ้งเป็นที่นอนอ่านหนังสือ เขาจะไปหยิบหนังสือจากเรืออาเซียนมานอนอ่านบนรังผึ้ง เป็นมุมรีแลกซ์ของเขาด้วย” วิทยา ผึ้งย้อย บรรณารักษ์ เล่าเช่นเดียวกับห้องวิทยาศาสตร์หรรษา ห้องสมุดมีชีวิตจะมีนักเรียนเป็นผู้ดูแล โย-จารุกิตติ์ พรหมวิหาร, เซนต์-อัครวินท์ มาดี, กิ่ง-มณีรัตน์ บัวผัน และ ขวัญ-ดลทัย แหล่งห้วยไชย ทุกคนเป็นนักเรียนชั้น ม.4 และอาสาทำหน้าที่เจ้าหน้าที่ดูแลห้องสมุด โยชอบอ่านนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ เซนต์ชอบอ่านนิยายสืบสวน ขวัญชอบอ่านหนังสือให้ความรู้การประดิษฐ์ และกิ่งสนใจเทคโนโลยี โยจึงดูแลหนังสือหมวดนวนิยายเช่นเดียวกับเซ็นต์ ขวัญดูแลหมวดประวัติศาสตร์ละศิปละนันทนาการ ส่วนกิ่งดูแลรังผึ้ง มัลติมีเดีย “เราเลือกหน้าที่ในการรับผิดชอบตามความถนัดและความสนใจของแต่ละคน หนูชอบอ่านนิยายเรื่องสั้นและงานประดิษฐ์ประดอย ตัว หนูเองเป็นคนชอบประดิษฐ์ก็เลยเลือกโซนฝั่งนั้น” ขวัญ เล่า
ส่วน กิ่ง บอก “หนูดูแลรังผึ้งมัลติมีเดีย ซึ่งรังผึ้งมัลติมีเดียจะมีทั้งหมด 6 ช่องสัญญาณ โดยเราจะนำข้อมูลความรู้ต่างๆ มาใส่ใน 6 ช่องสัญญาณ ส่วนใหญ่จะเป็นสารคดี เพลง ความรู้ ด้านการเกษตร”
โยเองก็เสริมว่า “ความรู้มันมีอยู่ในหนังสือแต่ละเล่ม เราก็ได้รู้หลายแง่ๆ จากหนังสือแต่ละเล่ม ได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน”
บางครั้งพวกเขาและเธอต้องเสียเวลาเรียนในห้อง แต่ก็ได้ความรู้จากในห้องสมุด และประสบการณ์จากผู้คนที่ผ่านเข้ามา และนี่คือสิ่งยิ่งใหญ่ชื่อความรู้ที่เกิดในโรงเรียนเทศบาลเมืองวังน้ำเย็นแห่งนี้
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ