ห่วงเด็กไทยมีเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้น พบ 1 ใน 3 คิดพึ่งศัลยกรรม
ผลสำรวจพบเด็กและเยาวชนเข้าสู่การมีเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชี้ “สวยผอม” ค่านิยมวัยรุ่นไทย โดยเด็ก 1 ใน 3 คิดทำศัลยกรรม-กินยาลดอ้วน แต่ยอมรับได้เรื่องแฟนมี “กิ๊ก”…
ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาสถาบันรามจิตติ กล่าวว่า จากผลการสำรวจสภาวการณ์เด็กและเยาวชนไทยในปี 2555 สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งสำรวจเด็กและเยาวชนตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.ต้น) มัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.ปลาย) อาชีวศึกษา และระดับอุดมศึกษาใน 20 จังหวัดทั่วทุกภาคของประเทศ ทำการสำรวจช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.ที่ผ่านมา รวมกลุ่มตัวอย่างประมาณ 20,000 คน พบว่า เด็กส่วนใหญ่ไม่กินอาหารเช้า โดยมีเด็กระดับ ม.ต้น และ ม.ปลายที่กินอาหารเช้าเป็นประจำเพียงร้อยละ 50 ขณะที่เด็กระดับอาชีวะและอุดมศึกษาเหลือเพียงร้อยละ 37 และยังพบว่าเด็กที่ชอบกินผักเป็นประจำทุกมื้อมีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น
นอกจากนี้ยังพบข้อกังวลถึงค่านิยม “สวยผอม” โดยมีเด็กถึง 1 ใน 3 ที่คิดจะใช้ยาลดความอ้วน และทำศัลยกรรมรวมทั้งยังเผชิญกับภาวะความเครียด ซึ่งจากผลการสำรวจครั้งนี้ ทำให้ประมาณการได้ว่า เด็กในระดับมัธยมศึกษาถึงอุดมศึกษาประมาณ 1 ล้านคน มีอาการซึมเศร้าและหงุดหงิดไม่รู้สาเหตุ และเกือบร้อยละ 50 เคยมีอาการเครียดจนปวดท้องหรืออาเจียน จึงควรปรับการจัดการศึกษาในโรงเรียน โดยเพิ่มพื้นที่กิจกรรมทางเลือกที่หลากหลาย ให้เด็กมีทางออกจากความเครียด สร้างความสุขในการใช้ชีวิต ก่อให้เกิดศักดิ์ศรีและเคารพในตัวเอง ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการใช้ความรุนแรงในโรงเรียนได้ในเวลาเดียวกัน
ดร.อมรวิชช์ กล่าวต่อไปว่า จากการสำรวจสภาวการณ์เด็กและเยาวชนไทยในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า เด็กและเยาวชนเข้าสู่การมีเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 24 ในปี 2551 เป็นร้อยละ 35 ในปี 2554 และในจำนวนนี้มีถึงร้อยละ 27 มีเพื่อนสนิทเคยตั้งท้องหรือเคยทำแท้ง และมีเด็กไทยถึง 1 ใน 4 ที่รู้สึกว่าการมีกิ๊กหรือมีแฟนหลายๆ คนพร้อมกัน เป็นเรื่องที่ยอมรับได้
นอกจากนี้ ยังพบว่า เด็กยังขาดความรู้เรื่องเพศมีเพียงร้อยละ 53 เท่านั้นที่รู้ถึงข้อจำกัดและความเสี่ยงในการใช้ถุงยางอนามัย และมีเด็กเพียงร้อยละ 57 ที่ยอมรับการพกถุงยางอนามัยติดตัว ขณะเดียวกันประเด็นความรุนแรงในเด็กและเยาวชนไทย จากการสำรวจในครั้งนี้ทำให้ประมาณการได้ว่า เด็กและเยาวชนกว่า 700,000-1,000,000 คน ตกอยู่ในภาวะความรุนแรงในโรงเรียน เช่น ถูกขู่กรรโชกทรัพย์ทำร้ายร่างกาย และการทะเลาะวิวาทกับเพื่อนนักเรียน โดยมีเด็กถึงร้อยละ 33ที่พบเห็นการพกพาอาวุธร้ายแรง อาทิ ปืน มีดดาบ ระเบิดทำเอง เข้ามาในสถานศึกษาที่ตนอยู่ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว
ดร.อมรวิชช์ กล่าวด้วยว่า ผลการสำรวจยังพบว่าเด็กใช้เวลาดูโทรทัศน์ คุยโทรศัพท์ เล่นอินเทอร์เน็ต รวมกันกว่า 7 ชั่วโมงต่อวัน และเด็กมากกว่าร้อยละ 50 นิยมดูละครโทรทัศน์ รัฐบาลและผู้จัดละคร จึงควรฉวยโอกาสนี้ใช้ละครโทรทัศน์เป็นสื่อสอนความฉลาดในการใช้ชีวิต โดยเฉพาะการปลูกฝังค่านิยมและความรับผิดชอบในเรื่องเพศ และการแก้ปัญหาความรุนแรงอย่างสันติรวมถึงการใช้โอกาสของสังคมออนไลน์ ที่พบว่าเด็กทุกระดับชั้นกว่าร้อยละ 60 ใช้อินเทอร์เน็ตในการเข้าสู่เครือข่ายทางสังคมออนไลน์ ก็ถือเป็นโอกาสอันดีในศึกษาและสร้างค่านิยมทางบวกแก่เด็กให้เป็นประโยชน์
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ