ห่วง’วัยเกษียณ’ฆ่าตัวสูง
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน
แฟ้มภาพ
รพ.จิตเวชขอนแก่นเผยอัตราฆ่าตัวตายไทย สวนทางองค์การอนามัยโลก
นพ.ณัฐกร จำปาทอง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวในโครงการการสัมมนาการป้องกันการฆ่าตัวตาย ครั้งที่ 12 ว่า ช่วงที่ผ่านมาองค์การอนามัยโลกเผยแพร่ข้อมูลการฆ่าตัวตายของประเทศไทยว่าสูงถึง 16 คนต่อแสนประชากร ขณะนี้อยู่ระหว่างประสานขอทราบวิธีการคำนวณอัตราการฆ่าตัวตาย อย่างไรก็ตาม ส่วนของประเทศไทยใช้หลักการคำนวณที่เป็นมาตรฐานสากล โดยใช้อัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จที่ยืนยันในใบมรณบัตรคำนวณร่วมกับสถิติประชากรกลางปีที่ได้จากสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า อัตราการฆ่าตัวตายของไทยลดลงเรื่อยๆ
นพ.ณัฐกรกล่าวอีกว่า จากการสำรวจโดยการใช้ใบมรณบัตรดังกล่าว พบว่า ในปี 2558 มีอัตราฆ่าตัวตาย 6.47 คนต่อแสนประชากร ปี 2559 อยู่ที่ 6.35 คนต่อแสนประชากร และปี 2560 ข้อมูลถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2561 อัตราฆ่าตัวตาย 6.03 คนต่อแสนประชากร แต่อัตราการฆ่าตัวตายกลับสูงขึ้นในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้สูงอายุบางกลุ่มในช่วงระหว่าง 60-64 ปี มีอัตราการฆ่าตัวตายมากถึง 9-10 คนต่อแสนประชากร ซึ่งถือว่ามีจำนวนมาก ส่วนในกลุ่มเด็กและวัยรุ่นก็พบการฆ่าตัวตายเช่นกัน ในกลุ่มเฉลี่ยอายุ 10-19 ปี พบประมาณปีละ 140-160 คน ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเมื่อเทียบกับอัตราการฆ่าตัวตายทั้งหมด 4,000 คน ถือว่ายังไม่มาก แต่ทั้งหมดก็ถือเป็นเรื่องที่ต้องหามาตรการในการป้องกันเพิ่มขึ้น
"ส่วนปี 2561 ยังไม่มีการรวบรวมข้อมูลที่เป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้เสพสื่อปัญหาการฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่นิ่งเฉยไม่ได้ ทั้งนี้เมื่อจำแนกตามพื้นที่ พบว่า ภาคเหนือ โดยเฉพาะภาคเหนือตอนบน ยังมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในประเทศ ขณะที่พื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีอัตราฆ่าตัวตายต่ำที่สุดในประเทศ" นพ.ณัฐกร กล่าว
รศ.นพ.ชวนันท์ ชาญศิลป์ นายกสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การป้องกันการฆ่าตัวตายจะต้องคำนึงถึง 3 ปัจจัย คือ 1.ปัจจัยเสี่ยง ซึ่งมักจะแก้ไม่ได้ เช่น มีประวัติการฆ่าตัวตายมาก่อน ครอบครัวเคยมีการฆ่าตัวตาย มีการใช้สารเสพติด หรือมีโรคทางจิตเวช จะต้องใช้วิธีในการเฝ้าระวัง 2.ปัจจัยกระตุ้น เป็นเรื่องเปลี่ยนแปลงไม่ได้เช่นกัน แต่ฝึกเรื่องวิธีการจัดการปัญหาได้ และ 3.ปัจจัยปกป้อง คือ ดูแลสุขภาพกายและจิตได้ดี การเชื่อมโยงกับคนรอบตัว มีทักษะชีวิตดี ยอมรับนับถือตัวเอง จะช่วยลดความเสี่ยงในการทำร้ายตัวเองและฆ่าตัวตายลงได้ ซึ่งปีนี้สมาคมจิตแพทย์เน้นเรื่องการเชื่อมโยงเป็นพิเศษ เพราะเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถช่วยเหลือกันได้
"มีผลวิจัยชัดเจนว่า คนที่มีความเชื่อมโยงกับบุคคลรอบๆ ข้างได้มาก อัตราทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายจะต่ำกว่าคนที่โดดเดี่ยว ไม่มีเพื่อน แต่การเชื่อมโยงกับคนรอบๆ ข้าง ก็ไม่ได้หมายความถึงการมีเพื่อนในไลน์และเฟซบุ๊กมาก หรือมีคนติดตามทางโซเชียล มีเดียมาก แต่ต้องเป็นคนที่ไว้ใจ ไม่ตัดสินเรา อาจจะไม่ใช่คนที่แก้ปัญหาให้เราได้ แต่ช่วยรับฟังเราได้ แค่เพียงคนเดียวก็ยังดี จะช่วยป้องกันการฆ่าตัวตายได้ ซึ่งมีผลวิจัยว่าถ้ามีเพื่อนที่เราไว้ใจได้ 3-4 คน อัตราฆ่าตัวตายจะลดลง 75% หากมี 5-6 คน ลดได้ 89% เพราะในทางจิตวิทยา หากเรามีเพื่อน เราจะรู้สึกดีกับตัวเอง และเมื่อเราอยู่ในจุดที่เราตึงเครียด หรือทุกข์ใจ ก็มีจะคนที่คอยรับฟัง ซึ่ง ไม่เพียงแต่เขาช่วยดูแลเรา หากเขามีปัญหาเราก็ต้องดูแลเขาด้วย" รศ.นพ.ชวนันท์กล่าว
รศ.นพ.ชวนันท์กล่าวต่อว่า ปัจจุบันสังคมไทยมีแนวโน้มเป็นสังคมโดดเดี่ยวหรืออยู่คนเดียวมากขึ้น โดยเฉพาะวัยทำงาน หรือแม้แต่ผู้สูงอายุที่เกษียณ คนที่บ้านก็มักจะมองว่าเป็นวัยที่ปลงแล้ว สามารถอยู่คนเดียวได้ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายสูง เพราะเผชิญความสูญเสียมาก ทั้งจากการสูญเสียงานที่ทำจากการเกษียณ การสูญเสียศักยภาพทางด้านร่างกาย หรือโรคประจำตัวต่างๆ หากรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า ไม่มีประโยชน์ และอยู่ตัวคนเดียว ก็มีโอกาสสูงที่จะฆ่าตัวตายได้ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่คนในครอบครัวจะต้องสร้างความสัมพันธ์ต่อกัน หรือการมีชมรมผู้สูงอายุที่ทำให้ได้เจอคนรอบตัว มีเพื่อนที่ไว้ใจได้ก็จะช่วยได้ เช่นกัน
รศ.นพ.ชวนันท์กล่าวว่า วิธีในการสร้างความสัมพันธ์ หากเป็นคนในครอบครัว ควรเริ่มจากการใช้เวลาทำอะไรร่วมกันในสิ่งที่ชอบเหมือนกัน และไม่ใช่เรื่องที่เครียดจนเกินไป เช่น ดูทีวีร่วมกัน ออกไปกินข้าว เดินเล่น ไปสวนสาธารณะ ไปทะเล หรือแม้แต่ไปช้อปปิ้งด้วยกัน เป็นจุดเริ่มต้นที่จะสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว และค่อยพัฒนาต่อเนื่องกันไป หรือแม้แต่แค่ซักถามในแต่ละวันว่าคุณปู่ คุณตาวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง เป็นต้น ส่วนการสร้างความสัมพันธ์หรือเพื่อนที่ไว้ใจที่จะรับฟังทุกอย่างด้วยกันได้นั้น คงไม่ใช่ว่าจะหาเพื่อนแบบนี้ได้เลย แต่จะต้องใช้เวลา โดยต้องเริ่มจากการเปิดใจคบเพื่อนกันอย่างผิวเผินก่อน แล้วดูว่าคนไหนที่มีรสนิยมไปแนวทางเดียวกัน ก็ใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น สุดท้ายจะเปิดใจกันมากขึ้นและยอมรับกันมากขึ้นจนเป็นคนที่สามารถไว้ใจได้