หว่านเมล็ด แฮปปี้ เวิร์กเพลส ในระบบราชการ

 

หลังจาก ดร.ศิริเชษฐ์ สังขะมาน และคณะ จากแผนงานสร้างเสริมคุณภาพชีวิตการทำงานองค์กรภาครัฐ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกมาเผยว่า ในปี 2556 นี้ ทางสถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) โดยการสนับสนุนจากสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กรสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เตรียมจัดทำ 500 เมล็ดพันธุ์ เพื่อนำราชการไทยไปสู่องค์กรสุขภาวะ ด้วยหลักแฮปปี้ เวิร์กเพลส และกล่องเครื่องมือ แฮปปี้ 8 

นพ.ชาญวิทย์ วสันต์ธนารัตน์ ผอ.สำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร สสส. ในฐานะหัวเรือใหญ่ที่เผยแพร่องค์ความรู้เรื่อง h มากว่า 1 ทศวรรษ กล่าวสนับสนุนด้วยสีหน้าจริงจังว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เราต้องทำให้เกิดขึ้นจริงในระบบราชการเหมือนที่เอกชนทำ อย่างไรก็ดี ที่เอกชนเดินหน้าไปสู่องค์กรสุขภาวะได้สำเร็จเพราะเขามีความคิดใหม่ๆ อิงความสุขของคนและการทำงานเป็นสำคัญ ไม่ยึดติดกับการบริหารแบบเก่า พร้อมจัดตั้งหน่วยงานพิเศษในลักษณะ hr ลงมาทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ ซึ่งหน่วยงานดังกล่าวทำหน้าเหมือน จิ๊กซอว์ นำเอากระบวนแฮปปี้ เวิร์กเพลส ไปเชื่อมขยายการทำงานต่อในองค์กรแบบต้นน้ำถึงปลายน้ำ ราชการเองถามว่ามีหน่วยงานนี้หรือไม่ ตอบได้ว่ามีแต่ก็เหมือนไม่มี

“บางที่เรียกว่ากองกลางเจ้าหน้าที่ บ้างก็ สมมติเอากองอื่นไม่ก็ฝ่ายธุรการมาสวมบทบาท hr หรือบางองค์กรก็สถาปนากอง hr จำเป็นเป็นหน่วยเทรนนิ่ง แต่พอเข้าไปศึกษาก็พบว่าเขาเทรนกันแต่เรื่องงาน แต่เรื่องการใช้ชีวิตในการทำงานไม่มี และเมื่อความเชี่ยวชาญเฉพาะไม่มีก็ยากที่จะพัฒนาองค์กรหรือรับใช้ประชาชนให้ดีได้ นอกจากนี้คนในอดีตมีวิถีไม่ซับซ้อน แต่คนสมัยนี้ใช้ชีวิตซับซ้อนมากขึ้น ภาคราชการจึงต้องทุ่มเทเอาจริงจัดตั้งหน่วยงานที่เน้นทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านการดำรงชีวิตทำงานอย่างมีคุณภาพแก่บุคลากรในองค์กรของตนเอง” นพ.ชาญวิทย์ระบุ

“งาน hr เป็นงานสำคัญมาก ไม่ใช่งานที่ใครก็ทำได้ ต้องมีความเป็นมืออาชีพเหมือนครู ที่ไม่ใช่ว่าใครจับชอล์คมีความรู้หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสองแล้วเป็นครูได้ เพราะต้องมีกระบวนการสื่อสารวิธีการสื่อสารการเข้าใจคนทุกประเภททุกวัยทุกตำแหน่ง และทำให้คนในองค์กรเชื่อถือได้ ฉะนั้น หากต้องการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตในระบบราชการ ก็จำเป็นมากที่ต้องได้คนมีความรู้ ความเข้าใจ เป็นมืออาชีพรู้จักวิธีต่างๆ องค์ความรู้ต่างๆ มีเครือข่ายหลากหลาย สามารถนำความรู้เข้าไปพัฒนาองค์กรตัวเองได้”นพ.ชาญวิท อธิบาย

ส่วนเหตุผลที่ต้องมีหน่วยงานเฉพาะมารองรับการเปลี่ยนแปลงนี้ เป็นเพาะทุกอย่างในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาแปรเปลี่ยนไปหมด ทั้งเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และกรอบความคิดใหม่ๆ และนับต่อจากนี้ไปอีก 5 ปี ผอ.สำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร ฟันธงว่า

“ผู้บริหารที่คิดแบบเดิมจะหมดไปจากระบบราชการ ฉะนั้น เราต้องก้าวตามให้ทันหรือเหนือกว่าเพื่อจะได้เป็นผู้นำ ด้วยการเปลี่ยนวิธีคิดให้สอดคล้องกับบริบทแห่งความจริงที่เปลี่ยนไป”

นพ.ชาญวิทย์ กล่าวต่อว่า การเปลี่ยนแปลงในภาคราชการที่จะเกิดขึ้น ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะมีผลงานวิจัยที่ครอบคลุมตั้งแต่ผู้บริหารถึงพนักงานระดับล่าง เป็นฐานเบื้องต้นในการกำหนดยุทธศาสตร์ เมื่อผนวกกับมีแนวปฏิบัติเดิมที่ดีจาก ก.พ.ก็จะทำให้การทำงานง่ายขึ้น ต่างจากภาคเอกชนที่ทำเรื่องแฮปปี้ เวิร์กเพลส แบบค่อยเป็นค่อยไป

นพ.ชาญวิทย์ กล่าวอีกว่า ตัวชี้วัดที่ราชการทำไว้เป็นเรื่องดี แต่ไม่ได้ถูกต่อยอด เหมือนกับการใช้สิทธิ์ตรวจสุขภาพฟรี แต่ไม่ได้นำผลที่ได้ไปต่อยอดว่าจะทำอย่างไรให้สุขภาพของบุคลากรภาครัฐดีขึ้น หรือดูแลตัวเองให้เจ็บป่วยน้อยลง

“นี่คือปัญหาที่ทำให้เราคิดต่อว่า เมื่อเรามีข้อมูลแล้ว มียุทธศาสตร์บางส่วนแล้ว ซึ่งเป็นนโยบายส่วนกลางช่วยขับเคลื่อนการทำงานด้วยซ้ำ และมีเครือข่ายราชการสนใจเข้าร่วมพัฒนาทุนทรัพยากรมนุษย์ เช่น กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมถึงอีกหลายๆ องค์กรที่สนใจด้านคุณภาพชีวิตของพนักงาน อยากปลูกฝังให้องค์กรมีความรักสามัคคี ผูกพันมีความเชื่อใจกัน ความเป็นพี่น้องกันมากขึ้น เพราะเขาเห็นงานวิจัยแล้วว่า การดูแลคนในองค์กรให้ดี เวลาปรับเปลี่ยนเมื่อเกิดปัญหาจะดำเนินการได้ดีกว่า เพียงแต่เขามีข้อจำกัดเรื่องกำลังคน ไม่สามารถจัดต่อเนื่องได้ตลอดเหมือนที่ภาคเอกชนทำ แต่งบเขามี”

ทางแก้ไขในเรื่องนี้ หัวเรือใหญ่แห่งแฮปปี้ เวิร์กเพลสบอกว่า อาจจะจัดตั้งทีมเฉพาะกิจในลักษณะแกนหมุนไปเป็นพี่เลี้ยงให้แต่ละที่ สร้างให้เขาเข้มแข็งและค่อยให้ไปต่อยอดกันเอง ซึ่งมีความตั้งใจไว้ว่าอยากให้หน่วยราชการที่สนใจในเรื่องดังกล่าว มีโอกาสและเวทีเผยแพร่ให้ภาครัฐด้วยกันรู้ว่าการเป็นองค์กรสุขภาวะนั้นดีอย่างไร โดยทั้งหมดจะเป็นไปในแบบไม่ใช่เงินนำ ไม่ได้เน้นการให้งบสนับสนุนให้ไปทำ แต่ให้เกิดความอยากทำมาจากใจ และรู้ว่างานที่ทำอยู่รับใช้ประชาชนมีคุณค่ามากขนาดไหน

“ผมว่าราชการเป็นงานมีเกียรติ ขณะที่เอกชนต้องสร้าง csr เพื่อบอกว่าฉันดีรักสังคม ทำงานเพื่อช่วยโลกใบนี้ แต่ราชการเป็นไปโดยธรรมชาติ อย่างกระทรวงสาธารณสุขสร้างขึ้นมาให้คนมีสุขภาพที่ดี กระทรวงยุติธรรมสร้างเพื่อเกิดความยุติธรรมในประเทศ กระทรวงมหาดไทยสร้างขึ้นเพื่อเกิดกระบวนการบริหารจัดการที่ดีในสังคมไทย จนไม่จำเป็นต้องทำ csr เพราะมันอยู่ในเนื้องาน แต่วันนี้เรามีราชการทำเรื่อง csr ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลก ทั้งๆ ที่หากข้าราชการมีคุณภาพชีวิตที่ดี สะท้อนไปถึงการทำงานที่ดีขึ้น อย่างไรเสียประชาชนก็ได้ประโยชน์ อยู่แล้ว” นพ.ชาญวิทย์ให้แง่คิด แต่ถ้าจะให้ดีเห็นผลแบบสุดๆ คุณหมอคมเดิม แนะนำว่า เราต้องเริ่ม “ปลูกคน” ด้วย “ความคิดและทัศนคติ” ที่ถูกที่ควร  ตั้งแต่ระดับครอบครัว

“การเปลี่ยนระบบราชการในแบบที่สังคมอยากจะเห็นจำเป็นต้องเปลี่ยนพื้นฐานความคิดตั้งแต่ระดับครอบครัวโดยเริ่มจากพ่อแม่ เช่น เมื่อก่อนหากลูกเรียนเก่ง อาชีพที่ลูกจะทำในอนาคตมีอยู่ไม่กี่ตัวเลือก ไม่เป็นแพทย์ก็ถูกผลักให้เป็นวิศวกร แต่ไม่ถามว่าลูกอยากเป็นหมอหรือไม่ ซึ่งแพทย์ที่เก่งกับหมอที่ดีมีใจอยากจะเป็นหมอนั้นต่างกัน หมอที่ดีอาจไม่เก่งก็ได้แต่เขามีใจอยากเป็นหมอ อยากช่วยเหลือคน เข้าใจวิชาชีพหมอดังนั้น หากเราช่วยผลักดันพัฒนาเขาให้เก่งพอจะเป็นหมอ เราก็จะได้หมอคุณภาพดีเพิ่มขึ้นในประเทศอีก 1 คน ซึ่งความคิดแบบนี้กำลังเติบโตและระบาดอยู่ในต่างประเทศ การผลักดันให้ลูกไปทำอาชีพราชการก็เช่นกัน ต้องถามลูกด้วยว่าเขาพร้อมจะช่วยเหลือรับผิดชอบชีวิตประชาชนหรือไม่ ไม่ใช่แค่ประกอบอาชีพนี้เพราะต้องการความมั่นคง อย่าลืมว่าคนในระบบราชการเพียง 2-3 ล้านคน มีพลังต่ออีก 60 กว่าล้านคนที่เหลือ

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

Shares:
QR Code :
QR Code