หยุด ‘รมควันบุหรี่’ เพื่อนร่วมงาน

เกือบ 10 ชั่วโมงในหนึ่งวันของคนวัยทำงาน “ที่ทำงาน” หรือ “ออฟฟิศ” เปรียบเหมือนบ้านหลังที่สอง แต่บ้านหลังนี้ประกอบด้วยสมาชิกที่เราเรียกว่า “เพื่อนร่วมงาน” เมื่อต่างคนต่างที่มาจึงต้องกำหนดกฎ กติกา มารยาท ในการใช้ชีวิตและแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน เพื่อปกป้องสิทธิของแต่ละคน โดยเฉพาะสิทธิในการรักษาสุขภาพของตัวเอง

“ควันบุหรี่มือสอง” เป็นปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นกับออฟฟิศหลายแห่ง จึงได้มีการออกมาตรการเป็นสากลว่า สถานที่ทำงานหนึ่งๆ  ควรจัดพื้นที่ “เขตปลอดบุหรี่” เพื่อป้องกันและลดการสัมผัสควันบุหรี่มือสองของผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ เพราะมีผลวิจัยว่า ควันบุหรี่มือสอง ประกอบด้วยสารเคมีมากกว่า 7,000 ชนิด และมี 70 ชนิดที่แพทย์ระบุว่า เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ที่ไม่มีระดับปลอดภัยในการสัมผัสเลย และยังมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่า เครื่องฟอกอากาศไม่สามารถป้องกันอันตรายจากควันบุหรี่ได้ โดยเฉพาะกับ ‘ผู้หญิง’ หากได้รับควันบุหรี่มือสองวันละ 3 ชม.ขึ้นไป จะมีอัตราการเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งลำคอมากกว่าผู้ที่ไม่ได้รับ 3 เท่า และมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งอื่นๆ มากกว่าคนปกติถึง 2 เท่า

แล้วจะทำอย่างไร ให้ “ออฟฟิศปลอดบุหรี่” เรื่องนี้ ปู-ภัทรพร คำหงษา เจ้าหน้าที่แผนงานพัฒนาการสร้างเสริมสุขภาพในสถานประกอบการ สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม แนะนำว่า การที่จะทำให้สถานประกอบการหรือที่ทำงานปลอดบุหรี่ได้นั้น มีทั้งปัจจัยหลักและปัจจัยรอง สำหรับปัจจัยหลัก คือ

1.เจ้าของกิจการหรือผู้บริหาร ต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้ โดยให้สิทธิอันชอบธรรมกับพนักงานทุกคนในการปกป้องตนเองจากการได้รับควันบุหรี่ และเห็นความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาสุขภาพของพนักงานที่เกิดจากสถานที่ทำงาน โดยกำหนดเป็นนโยบายหรือมาตการออกมาใช้ร่วมกัน

2.คณะทำงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้ ต้องมีความรู้ความเข้าใจวิธีการและแนวทางในการดำเนินงาน อย่างน้อยคือมีความรู้เรื่องกฎหมาย หรือข้อกำหนดต่างๆ เรื่องการจัดเขตปลอดบุหรี่ในที่ทำงาน

3.พนักงานทุกคน ต้องมีส่วนร่วมในการปฏิบัติมาตรการที่กำหนดขึ้นทั้งผู้สูบบุหรี่และผู้ที่ไม่สูบบุหรี่

นอกจากปัจจัยหลักแล้ว ยังมี “ปัจจัยรอง” ที่เอื้อต่อความสำเร็จของมาตรการนี้ คือ

1.การจัดสภาพแวดล้อมที่ทำงานให้ปลอดควันบุหรี่ หมายถึง จัดพื้นที่เขตสูบบุหรี่โดยเฉพาะ และต้องอยู่นอกตัวอาคารเท่านั้น 

2.การจัดกิจกรรมรณรงค์ ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องพิษภัยของบุหรี่แก่พนักงานทุกคน

3.การวางนโยบายสนับสนุนให้คนเลิกบุหรี่

ซึ่งหากทำได้ครบทั้ง 2 ปัจจัย แน่นอนว่าผลที่ตามมานั้นย่อมดีต่อสมาชิกทุกคนในออฟฟิศ ประโยชน์อย่างแรกที่เกิดขึ้นคือ ผู้ที่สูบบุหรี่จะลดการสูบไปโดยปริยาย และนำไปสู่การอยากเลิกสูบบุหรี่ เนื่องจากมีข้อจำกัดต่างๆ อย่างที่สองคือ ผู้ที่ไม่สูบบุหรี่จะได้สัมผัสควันบุหรี่มือสองลดลง ซึ่งตอบโจทย์เรื่องสุขภาพ ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานดีขึ้น และสุดท้ายคือเจ้าของกิจการนั้นสามารถลดต้นทุนแฝงต่างๆ เช่น ระยะเวลาในการทำงานของพนักงานที่สูบบุหรี่ ค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดออฟฟิศ ที่สำคัญคือสามารถช่วยเพิ่มผลผลิตของกิจการอีกด้วย

“พิษภัยของบุหรี่ ไม่เพียงส่งผลเสียต่อสุขภาพคนเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เด่นชัดที่สุดคือทำให้สภาพอากาศเป็นพิษ และยังมีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับก้นบุหรี่ที่เป็นขยะมีพิษ งานวิจัยชี้ให้เห็นว่า ก้นบุหรี่ 1 มวน ประกอบด้วย กระดาษ สารเคมี เยื่อหุ้มที่เป็นเคมีสังเคราะห์ จะต้องใช้เวลา 10-12 ปี ถึงจะย่อยสลายได้หมด ส่วนใหญ่จึงนำไปทิ้งแบบฝังกลบรวมกับขยะมูลฝอยทั่วไป เมื่อน้ำไหลผ่านจะทำให้สารเคมีเหล่านั้นปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้ำ และยังมีผลต่อสภาพดิน ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่เรารับประทาน จึงกล่าวได้ว่าพิษภัยของบุหรี่เชื่อมโยงกับการใช้ชีวิตของเราเกือบจะทุกๆ เรื่อง” ปู-ภัทรพร เสริมทิ้งท้าย

“หากสมาชิกคนใดคนหนึ่งในบ้านป่วย สมาชิกคนอื่นๆ จะป่วยตามไปด้วย เพราะอาการป่วยมีผลต่อคนรอบข้างทั้งทางกายและทางใจ” ดังนั้นเพื่อให้บ้านหลังที่สองของเราปราศจากเชื้อโรค การทำให้ “ออฟฟิศปลอดบุหรี่” จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากที่ไม่สามารถทำได้ เพียงแต่ทุกคนต้องร่วมมือกัน โดยเฉพาะคนที่สูบบุหรี่ ถึงเวลาแล้วที่คุณควรจะหยุด ‘รมควันบุหรี่’ เพื่อนร่วมงาน

 

 

เรื่องโดย : ฐาปน คำทาTeam Content www.thaihealth.or.th

Shares:
QR Code :
QR Code