หยุดความรุนแรงในครอบครัว ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง

วงเสวนาถก รากเหง้าวงจรความรุนแรงในครอบครัว ปลุกผู้หญิงอย่ายอมจำนน ปลดล็อกตัวเองจากโครงสร้างสังคมที่เอื้อให้เกิดความรุนแรง ติงสื่อชอบตอกย้ำความรุนแรงในสังคม เหตุมักนำเสนอปัญหาเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง”

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน เวลา 10.00 น. ที่โรงแรมรามา การ์เด้นส์ แผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ สมาคมเพศวิถีศึกษา ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิธีรนาถ กาญจนอักษร มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล โครงการสตรีและเยาวชนศึกษา และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมจัดเวทีเสวนา “หยุดความรุนแรงในครอบครัว : บทเรียนจากกรณีหมอนิ่ม” เพื่อเปิดพื้นที่พูดคุยและถอดบทเรียนกรณีความรุนแรงในครอบครัวของสังคมไทย ซึ่งสอดคล้องกับองค์การสหประชาชาติ ประกาศให้วันที่ 25 พฤศจิกายน ของทุกปี เป็น “วันยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง”

โดย น.ส.นัยนา สุภาพึ่ง ผู้อำนวยการมูลนิธิธีรนาถ กาญจนอักษร กล่าวว่า สาเหตุรากเหง้า และวงจรการเกิดความรุนแรงในครอบครัว มาจากโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรม การเลือกปฏิบัติ ความไม่เท่าเทียมกันในครอบครัว โดยเฉพาะสามี-ภรรยา ซึ่งฝังรากลึกมานาน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความรุนแรงในครอบครัว อีกทั้งยังมีการถ่ายทอดและเลียนแบบจากรุ่นสู่รุ่น เมื่อเริ่มมีการใช้ความรุนแรงแล้วไม่ได้รับการแก้ไขหรือยุติ ก็จะมีแนวโน้มกระทำความรุนแรงซ้ำๆ และมีระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งความรุนแรงอยู่รอบตัวเรา ค่อยๆ สั่งสม โดยไม่สามารถหาทางออก หรือไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร หรือจะแก้ไขได้อย่างไร จนกระทั่ง ความรุนแรงระเบิดออกมา จนนำไปสู่ความสูญเสีย

น.ส.นัยนา กล่าวอีกว่า สำหรับการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว อันดับแรกต้องปลอดล็อกตัวเองออกจากความเข้าใจผิดของค่านิยมในสังคม ที่มองความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องปกติ เช่น ยิ่งทะเลาะยิ่งลูกดก เป็นต้น โดยการไม่ยอมจำนน หรืออดทน ต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้น เพราะอายกลัวว่าจะทำให้เสียชื่อเสียง หรือ สิ่งที่สังคมตอกย้ำว่า ครอบครัวจะสมบูรณ์ต้องมีพ่อ แม่ ลูก ผู้ที่ถูกกระทำความรุนแรง จึงพยายามประคับประคองรักษาสถานภาพของครอบครัว เหล่านี้เป็นเพียงมายาคติเท่านั้น ดังนั้นต้องเชื่อมั่นในตัวเอง ตั้งสติ และรักษาชีวิตให้ปลอดภัยโดยเดินออกมาจากความรุนแรง

“การพึ่งกฎหมาย ก็ยังเป็นอีกกลไกหนึ่ง ในการแก้ปัญหา ซึ่งปัจจุบันประเทศไทย มีพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 แต่กฎหมายและผู้ใช้กฎหมาย ยังเน้นการไกล่เกลี่ยที่มุ่งรักษาความสัมพันธ์ให้สามี ภรรยาที่มีการใช้ความรุนแรงต่อกันกลับมาคืนดีกัน โดยไม่มีการสร้างความเข้มแข็งในครอบครัว และในทางปฏิบัติก็ยังไม่มีหน่วยงานที่เข้ามารับผิดชอบโดยตรง ซึ่งควรจะมีการปรับปรุงแก้ไขให้สามารถนำกฎหมายไปใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง” น.ส.นัยนา กล่าว

ด้าน ดร. ชเนตตี ทินนาม อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต กล่าวว่า การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งจากการติดตามการนำเสนอข่าวกรณีหมอนิ่ม เห็นได้ชัดเจนว่า สื่อเลือกนำเสนอข่าวแบบสืบสวนสอบสอน และมองเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง ทำให้มองข้ามปัญหาที่อยู่ลึกลงไป ซึ่งไม่ได้รับการแก้ไข เท่ากับสื่อได้สร้างความชอบธรรมให้การทุบตี ทำร้าย สร้างความรุนแรงในครอบครัวโดยไม่รู้ตัว และทำให้เสียโอกาสในการแก้ไขปัญหา

อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่สายหากสื่อจะนำเสนอข่าวในลักษณะของการวิเคราะห์เจาะลึก ในหลากหลายแง่มุมมากขึ้น ไม่ใช่จับจ้องเพียงเรื่องฆาตกรรม มรดก สมบัติ หากแต่มองในมุมของสิทธิมนุษยชน อาจทำให้รู้ว่า เหตุฆาตกรรมสามีที่เกิดขึ้นแท้จริงอาจมีต้นตอสาเหตุมาจากความรุนแรงในครอบครัวก็เป็นได้

 

 

ที่มา : แผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ 

Shares:
QR Code :
QR Code