หมอ-โภชนาการหวั่น น้ำอัดลม สาเหตุโรคอ้วน-เบาหวาน
การประกาศสงครามชิงตลาดน้ำอัดลมของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ต่างเปิดกลยุทธ์เรียกความสนใจจากผู้บริโภคด้วยการทุ่มงบประมาณโฆษณา ประชาสัมพันธ์ เจาะกลุ่มลูกค้าทุกระดับ กำลังสร้างความวิตกกังวลต่อนักวิชาการแพทย์ และโภชนาการว่า จะเป็นการกระตุ้นให้คนไทยบริโภคน้ำตาลเพิ่มขึ้น จากระดับที่สูงมากอยู่แล้ว และจะเป็นอุปสรรคให้การรณรงค์ให้คนไทยไม่กินหวานไม่ประสบความสำเร็จ
ล่าสุด กรมอนามัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ออกมาระบุชัดว่าการแข่งขันด้านการตลาดอย่างดุเดือดทุกรูปแบบอย่างเช่นการจัดกลยุทธ์แจกน้ำอัดลม หรือการโฆษณาแนะนำผลิตภัณฑ์น้ำอัดลมยี่ห้อใหม่ น่าจะมีผลกระทบต่อการรณรงค์ลดโรคอ้วน และโรคที่เกิดจากการกินหวานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การโหมทำการตลาดของค่ายน้ำอัดลม ส่งผลกระทบต่อโครงการลดอ้วนของกรมอนามัยแน่นอนและจะทำให้คนหันมาดื่มน้ำอัดลมมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน บางคนอาจไม่เคยสนใจดื่ม แต่เมื่อได้ลองแล้วชอบก็อาจมีการดื่มต่อเนื่องซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาโรคอ้วนได้ เพราะน้ำอัดลม 1 กระป๋อง มีพลังงาน 140 กิโลแคลอรี่ ทั้งยังมีกาเฟอีน และสารคาร์บอเนตที่ทำให้ฟันผุได้ง่ายด้วย
“เราเป็นห่วง เพราะผู้ป่วยโรคอ้วนมีจำนวนมากขึ้น โดยเฉพาะกับเด็กๆ ที่ผ่านมากรมอนามัยจึงพยายามทำการรณรงค์ให้ความรู้ประชาชน เด็กและเยาวชน เพื่อให้เกิดความตระหนัก จากผลพวงของภาวะอ้วนนี้” อธิบดีกรมอนามัยกล่าว
ทพญ.ปิยะธิดา ประเสริฐสม ผู้จัดการโครงการเด็กไทยไม่กินหวาน สสส. กล่าวว่า การทำการตลาดของบริษัทน้ำอัดลมจะทำให้เด็กและเยาวชนหันมาดื่มน้ำอัดลมกันมากขึ้น ฉะนั้นทางที่ดีต้องป้องกันไม่ให้มีการดื่มมากเกินไป ซึ่งกรณีของน้ำอัดลมก็ไม่แตกต่างจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากยิ่งมีการลดแลกแจกแถมเพื่อให้มีการดื่มเพิ่มขึ้นผลเสียจะเกิดขึ้นในระยะยาว
ทพญ.ปิยะธิดากล่าวว่า ที่ผ่านมาเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานเคยคุยกับบริษัทน้ำอัดลมเพื่อขอให้ลดการกระตุ้นการดื่ม แต่คำตอบที่ได้คือ ก็ให้ผู้ที่ดื่มไปออกกำลังกาย ซึ่งในแง่กฎหมายเราคงห้ามการทำการตลาดของเอกชนไม่ได้ เพราะไทยเป็นประเทศเสรี และบริษัทเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย
“ยอมรับว่ากลุ่มนักวิชาการที่ทำงานรณรงค์ไม่กินหวาน ลดอ้วน ต่างแสดงความกังวลว่า การแข่งขันการตลาดของบริษัทน้ำอัดลมที่กำลังดุเดือดในขณะนี้ จะเป็นการกระตุ้นให้คนหันมาดื่มน้ำอัดลมมากขึ้น” ผู้จัดการโครงการเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าว
ทพญ.ปิยะธิดากล่าวว่า มาตรการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมามีการพูดคุยกันมาก และเห็นว่าต้องดำเนินเป็นมาตรการระดับประเทศ คือการใช้มาตรการทางภาษี ด้วยการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มตามปริมาณน้ำตาลที่เป็นส่วนประกอบ หากมีน้ำตาลมากก็เก็บมาก หรือหากบริษัทไหนใช้น้ำตาลเป็นส่วนประกอบในเครื่องดื่มน้อยก็จะมีการลดภาษีให้ เป็นต้น โดยมาตรการเหล่านี้ในต่างประเทศเริ่มมีใช้บ้างแล้วหรือจะดำเนินตามอย่างประเทศออสเตรเลียเลยที่มีการเก็บภาษีเครื่องดื่มเพิ่มทั้งหมด
“การใช้มาตรการทางภาษีกับเครื่องดื่ม ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยซึ่งหากเครื่องดื่มน้ำอัดลมมีราคาแพงขึ้น จะส่งผลต่อการเลือกซื้อเพื่อบริโภค แต่อาจไม่มีผลในกลุ่มคนที่มีรายได้ดี อย่างไรก็ตามก็เป็นวิธีหนึ่งเพื่อสกัดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังที่อาจะเกิดขึ้นในอนาคต” ทพญ.ปิยะธิดากล่าว
ด้าน ทพญ.จันทนา อึ้งชูศักดิ์ ผู้จัดการแผนงานรณรงค์เพื่อเด็กไทยไม่กินหวาน สสส. กล่าวว่าในน้ำอัดลม 100 ซีซี จะมีน้ำตาลประกอบตั้งแต่ 10-14% ซึ่งน้ำอัดลม 1 กระป๋องจะมีปริมาณน้ำ 325 ซีซี เท่ากับว่า จะมีน้ำตาลผสมอยู่ถึง 3-4 เท่า ตามหลักวิชาการในหนึ่งวัน คนเรามไม่ควรกินน้ำตาลเกินวันละ 6 ช้อนชา หมายความว่า การดื่มน้ำอัดลม 1 กระป๋องเท่ากับบริโภคน้ำตาลเกินอัตราที่คนเราควรได้รับในแต่ละวันอยู่แล้ว
ทพญ.จันทนากล่าวว่า ที่ผ่านมางานวิจัยทั้งในและต่างประเทศสรุปว่า น้ำอัดลมเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาโรคอ้วน ส่งผลให้ผู้ดื่มมีความเสี่ยงต่อโรคมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่มหลายเท่า
โดยปัจจุบันสถานการณ์โรคอ้วน ในเด็กชั้นประถมมีเด็กที่อยู่ในภาวะอ้วน 12%-15% ส่วนโรคอ้วนในผู้ใหญ่ พบว่าผู้หญิงจะเป็นโรคอ้วนมากกว่าผู้ชายนอกจากนี้ยังพบว่า การดื่มน้ำอัดลมมากๆ จะทำให้เกิดภาวะฟันสึกกร่อน เพราะน้ำอัดลมมีความเป็นกรด ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลหรือไม่น้ำตาลก็ตาม
นพ.ธวัชชัย พีรพัฒน์ดิษฐ์ นายกสมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แม้สัดส่วนของผู้ป่วยเบาหวานในประเทศไทย พบว่าส่วนใหญ่เกิดกับผู้ใหญ่ ร้อยละ 99 ส่วนในเด็กเกิดเพียง ร้อยละ 1 แต่การบริโภคน้ำอัดลมมากเกินปริมาณที่เหมาะสมก็จะทำให้เกิดโรคอ้วน ซึ่งนำไปสู่การป่วยเป็นโรคเบาหวานได้เช่นกัน ดังนั้นการแจกน้ำอัดลมให้แก่ประชาชนฟรี ถือว่าไม่เหมาะสม เพราะเป็นการกระตุ้นค่านิยมการบริโภคที่ไม่ถูกต้อง
ด้าน นพ.ไพรัช ไชยะกุล ประธานชมรมต่อมไร้ท่อเด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการแจกน้ำอัดลมให้แก่ประชาชน เพราะเป็นการกระตุ้นค่านิยมการบริโภคที่ไม่ถูกต้องและส่งเสริมให้มีการบริโภคมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันการบริโภคน้ำตาลของคนไทยสูงกว่ามาตรฐานอยู่แล้วเห็นได้จากอัตราการป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในเด็กนั้นเพิ่มมากขึ้น เมื่อเทียบกับสมัยก่อน ดังนั้นรัฐบาลจึงควรออกนโยบายรณรงค์ป้องกัน โดยอาจกำหนดเป็นกฎระเบียบห้ามจำหน่ายน้ำอัดลมในสถานศึกษา พร้อมทั้งให้ความรู้แก่ประชาชนควบคู่กันไป
ดร.เนตรนภิส วัฒนสุชาติ นักวิจัย สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า สังคมไทยในปัจจุบันเป็นสังคมแห่งการบริโภค ซึ่งมีผู้คนในสังคมจำนวนไม่น้อยที่ยังยึดติดกับค่านิยมการบริโภคแบบผิดๆ ส่งผลให้เกิดโรคร้ายตามมามากมาย เช่น โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน โรคหัวใจ ซึ่งปัจจุบันไม่ได้เป็นกันเฉพาะผู้ใหญ่ วัยเด็กก็มีโอกาส และความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคร้ายมากขึ้นด้วย
“ทุกคนต้องสร้างนิสัยการกินใหม่ให้ถูกต้องเด็กไทยส่วนใหญ่ยังนิยมบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบในปริมาณที่สูงเกินความจำเป็นหากรู้จักบริหารความหวาน คือ การรับประทานน้ำตาลในปริมาณที่พอเหมาะ ก็จะเกิดประโยชน์กับร่างกาย” ดร.เนตรนภิสกล่าว
ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) แสดงความเป็นห่วงว่า การขยายตลาดของน้ำอัดลมจะส่งผลกระทบต่อการรณรงค์ไม่ดื่มน้ำอัดลม และขนมกรุบกรอบในสถานศึกษา ที่พยายามรณรงค์ต่อเนื่องยาวนานกว่าสิบปี โดยการริเริ่มของ สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.) ในขณะนั้น
ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก