หมอแนะพกยา `ไอเอสดีเอ็น` ช่วยป้องกันหัวใจวาย
ที่มา : เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
หมอแนะชายไทยวัย40อัพและหญิงหลังหมดประจำเดือนพกยาแก้ยาไอเอสดีเอ็นช่วยป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดไม่ให้ซ้ำรอยอดีตนักเตะทีมชาติไทยหัวใจวายตาย
เร็วๆ นี้ ที่โรงพยาบาลราชวิถี ในเวทีเสวนา “ไทยถึงเวลาพัฒนาระบบรับมือผู้ป่วยฉุกเฉิน ก่อนสายเกินแก้แล้วหรือยัง?” จัดโดย โครงการส่งเสริมและป้องกันคนไทยไม่ให้เจ็บป่วยฉุกเฉิน สมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย โรงพยาบาลราชวิถี และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)
ศ.นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ นายกสมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากกรณีที่ปรากฎเป็นข่าววงการฟุตบอลต้องสูญเสียอดีตนักเตะทีมชาติไทย เนื่องจากหัวใจวาย ขณะกำลังซ้อมฟุตบอลในสนามของกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ทั้งนี้ ปัจจุบันผู้ป่วยฉุกเฉินมีอัตราเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะนี้มีประชาชนเจ็บป่วยเข้ารับบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินปีละกว่า 25 ล้านคน อีกทั้งจำนวนมากที่ต้องเสียชีวิตและพิการ ทั้งนี้จากข้อมูลศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการศูนย์กู้ชีพนเรนทร โรงพยาบาลราชวิถี ปี 2558 พบว่า อาการสำคัญที่รับแจ้งในผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล 72% ได้รับแจ้งเป็นอาการอื่นๆที่ไม่สื่อว่าเป็นหัวใจหยุดเต้น เช่น เจ็บหน้าอก ชักเกร็ง หอบเหนื่อย ขณะเดียวกันอัตราในผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล มีเพียง11%เท่านั้นที่รอดชีวิต
อย่างไรก็ตาม การรอดชีวิตจึงขึ้นอยู่กับการป้องกัน การดูแลตัวเอง ระบบการส่งต่อที่รวดเร็ว เช่น ผู้ป่วยโรคหัวใจ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรู้วิธีการใช้ยาแก้อาการหัวใจขาดเลือด หรือยาไอเอสดีเอ็น ที่ใช้อมไว้ใต้ลิ้น เมื่อเกิดอาการ ก่อนที่จะหมดสติ หรือชัก จะทำให้รอดชีวิตมากขึ้น อยากแนะนำว่า ผู้ชายที่อายุมากกว่า40ปี หรือผู้หญิงหลังหมดประจำเดือน ควรพกยาชนิดนี้ติดตัวไว้ประมาณ2เม็ด ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป เม็ดละ2บาท เพราะหากเกิดเหตุขึ้นจะได้ช่วยเหลือตัวเองหรือช่วยคนอื่นได้ทันที ส่วนกรณีหลายฝ่ายหรือหน่วยงานต่างๆเรียกร้องให้กทม.ซื้อเครื่องช่วยฟื้นคืนคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (เออีดี) หรือเครื่องช็อคหัวใจ ติดตั้งทั่วกรุงเทพฯนั้น เห็นว่าอาจใช้ได้ในบางกรณีเท่านั้น เนื่องจากเครื่องนี้ใช้ในรายที่หัวใจหยุดเต้น หรือเต้นแบบไม่เป็นจังหวะอีกทั้งขึ้นอยู่กับการฝึกอบรม หากขาดทักษะก็ไม่สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยฉุกเฉินได้ และที่สำคัญเครื่องนี้มีราคาแพง จึงเป็นไปได้ยากที่รัฐบาลหรือกทม.จะจัดสรรค์งบประมาณเพื่อติดตั้งทั่วไปได้
“การเจ็บป่วยฉุกเฉินมีหลายสาเหตุที่สามารถป้องกันและหยุดยั้งอาการไม่ให้กำเริบจนเสียชีวิตหรือพิการถาวรได้ และการโทรแจ้งรถกู้ชีพนั้น ต้องตั้งสติ ให้ข้อมูลที่ชัดเจน บอกอาการ ความรู้สึกของผู้ป่วย นอกจากนี้ทางสมาคมฯ ยังได้จัดทำโครงการส่งเสริมและป้องกันคนไทยไม่ให้เจ็บป่วยฉุกเฉิน เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนในการดูแลตนเอง ป้องกันการเกิดโรคภัยต่าง ๆ ที่จะทำให้เกิดการเจ็บป่วยฉุกเฉินขึ้นได้ อีกทั้งยังได้เตรียมจัดทำคู่มือสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ให้สามารถวินิจฉัยอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินของผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็วขึ้นด้วย เช่น เป็นฉุกเฉินสีแดงที่ต้องรักษาเร่งด่วน หรือเป็นฉุกเฉินสีเหลืองที่ต้องส่งต่อ หรือกลุ่มสีเขียวที่ยังสามารถรอได้” ศ.นพ.สันต์ กล่าว
นพ.สมชาย กาญจนสุต อุปนายกสมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินฯ ในฐานะผู้ที่ริเริ่มทำงานพัฒนาให้มีศูนย์กู้ชีพนเรนทร รพ.ราชวิถี และสามารถขยายผลต่อจนมีระบบการแพทย์ฉุกเฉินทั่วประเทศ กล่าวว่า ผู้รับผิดชอบระบบควรจัดให้มีการประเมินความเสี่ยงของแต่ละพื้นที่และความพร้อมในการช่วยเหลือ โดยหน่วยงานภายนอก จะสังเกตได้ว่าพื้นที่เสี่ยงของผู้ป่วยฉุกเฉิน คือ สถานที่ออกกำลังกาย ฟิตเนส สนามฟุตบอล หรือแม้แต่สถานที่ประชุมที่มีความเครียด เช่น รัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล ควรมีการประเมินความเสี่ยงและเตรียมความพร้อมของระบบการช่วยเหลือใน 3 มิติคือ ความรวดเร็ว ความสามารถของผู้ช่วยเหลือและการเข้าถึงบริการ ตลอดจนการนำส่งไปยังสถานพยาบาลที่เหมาะสม นอกจากนั้นควรจัดให้มีการซ้อมระบบปฏิบัติการว่าสามารถปฏิบัติได้จริงและต่อเนื่อง ปัจจุบันได้มีการพัฒนาด้านวัสดุอุปกรณ์ไปมาก แต่ขาดการตรวจสอบว่าสามารถใช้งานในเหตุการณ์จริง ๆ ได้
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้หากมองย้อนหลังตามหลักการแล้วควรมีการแจ้งเหตุขอความช่วยเหลือให้เร็วที่สุด หากผู้ป่วยหมดสติและคลำชีพจรไม่ได้ให้ทำการกดหน้าอกแบบถูกวิธี(Quality CPR) พร้อมกับการจัดหาเครื่อง AED หากหาไม่ได้ก็ควรกดหน้าอกต่อไปเรื่อยจนกว่าหน่วยกู้ชีพจะมาถึงซึ่งควรจะมาโดยเร็วที่สุด ไม่ควรเคลื่อนย้ายไปโรงพยาบาลเองเพราะจะทำให้ต้องหยุดการกดหน้าอกในระหว่างการเคลื่อนย้ายเป็นผลเสียต่อการช่วยชีวิต แต่ในเหตุการณ์จริง ครั้งนี้เชื่อว่าผู้ช่วยเหลือต่างมีเจตนาดีที่จะช่วยชีวิตผู้ป่วยเป็นที่ตั้ง ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องเผยแพร่องค์ความรู้และฝึกอบรมการช่วยชีวิตที่ถูกต้องให้ทั่วถึงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่อยู่หรือทำงานในพื้นที่ความเสี่ยงสูง และสำรวจความพร้อมของระบบการช่วยเหลือเพื่อปรับระบบให้สามารถปฏิบัติการช่วยเหลือฉุกเฉินได้จริงอันประกอบด้วยความรวดเร็ว ความสามารถ และความครอบคลุม รวมทั้งมีการซ้อมปฏิบัติในสถานการณ์ต่าง ๆด้วย” นพ.สมชาย กล่าว