หมอชี้ปีนี้หวัดระบาด 3 สายพันธุ์
เมื่อวันที่ 24 กันยายน ที่ตึก สก. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวในการประชุมสัมมนาประจำปี 2553 ครั้งที่ 3 “เมื่อไข้หวัดใหญ่ระบาดพร้อมกันทั้ง 3 สายพันธุ์” ว่าในปีนี้การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่มากกว่าปีที่ผ่านมาเนื่องจากเป็นการระบาดรวมทั้งสามสายพันธุ์ คือไข้หวัดใหญ่ชนิด A เอช 1 เอ็น 1 (H1N1) หรือไข้หวัดใหญ่ 2009 ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ เอช 3 เอ็น 2 (H3N2) และไข้หวัดใหญ่ชนิด B ที่สำคัญการระบาดยังยาวนานกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยในปี 2552 การระบาดเริ่มลดลงในช่วงเดือนสิงหาคม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 ถึงร้อยละ90 ขณะที่สายพันธุ์ตามฤดูกาลพบเพียงร้อยละ 10
ศ.นพ.ยงกล่าวอีกว่า สำหรับการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สามสายพันธุ์ในปีนี้พบว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 ถึงร้อยละ 50 ขณะที่ไข้หวัดใหญ่เอช 3 เอ็น 2 พบประมาณ 1 ใน 4 นอกนั้นเป็นไข้หวัดใหญ่ชนิด B เรียกว่าในภาพรวมทั้งประเทศไข้หวัดใหญ่ 2009 พบมากที่สุดโดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและภาคเหนือ รองลงมาคือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอช 3 เอ็น 2 พบในภาคใต้ ส่วนไข้หวัดใหญ่ชนิด B พบได้ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด อย่างไรก็ตาม สำหรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทั้งสามสายพันธุ์นั้น ปัจจุบันทางกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) รณรงค์ให้กลุ่มเสี่ยงฉีดอยู่จำนวน2.1 ล้านโดส และยังมีในส่วนของภาคเอกชนอีก 1 ล้านโดส รวมแล้วประมาณ 3 ล้านโดส สำหรับฉีดให้กับประชาชนราว 3 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 4 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งถือว่าน้อยมากในการป้องการระบาดของโรค ทางที่ดีที่สุดประชาชนทุกคนต้องดูแลสุขภาพของตนเอง
“แม้วัคซีนจะมีประสิทธิภาพในการป้องกัน แต่ไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ สิ่งสำคัญทุกคนต้องดูแลตัวเอง หากป่วยเป็นไข้หวัดต้องสวมหน้ากากอนามัยป้องกันการแพร่กระจายทุกครั้ง ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคได้ถึงร้อยละ 80 มากกว่าคนปกติที่สวมหน้ากากป้องกันที่ช่วยได้เพียงร้อยละ 10 เท่านั้นเรื่องนี้สำคัญมาก แต่ที่ผ่านมากลับไม่ค่อยเห็นกระทรวงสาธารณสุขออกมารณรงค์เรื่องนี้เหมือนช่วงปีที่ผ่านมา” ศ.นพ.ยงกล่าว และว่า ช่วงอายุที่พบว่าป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 มากที่สุดในปัจจุบันคือช่วงอายุ 26-30 ปี จากเดิมระลอกแรกพบในช่วงอายุ 6-20 ปี ส่วนระลอกสองพบในช่วงอายุ 1-5 ขวบ ส่วนกลุ่มผู้สูงวัยไม่พบมากนัก เนื่องจากไวรัสหวัด 2009 เคยผ่านมาในอดีต จึงทำให้ผู้สูงอายุมีภูมิต้านทานมากกว่ากลุ่มอายุน้อย ส่วนการทดสอบการดื้อยาในเชื้อ 1,100 สายพันธุ์พบว่าการระบาดระลอกแรกไม่พบการดื้อยา ส่วนการระบาดระลอกสองพบเชื้อดื้อยา 1 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.2 และระลอกสามพบดื้อยา 3 ราย คิดเป็นร้อยละ0.8 ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการใช้ยามากขึ้น
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน
Update:27-09-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่