หนุนสถานพยาบาลใช้ยาสมุนไพร
ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้าออนไลน์
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
แฟ้มภาพ
“กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก” พร้อมส่งเสริมสถานพยาบาลใช้ยาสมุนไพรช่วยรักษาโรค ระบุขั้นตอนการผลิตมีมาตรฐานไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ายาแผนปัจจุบัน เพราะมีการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
นพ.ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ รองอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศนโยบายให้ทุกโรงพยาบาลทุกแห่งส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล และกำหนดเป็นแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพสาขาที่ 15 นั้น ทางกรมฯซึ่งมีภารกิจในการพัฒนาการแพทย์แผนไทย ซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมให้มีคุณภาพ มาตรฐานทัดเทียมการแพทย์แผนปัจจุบัน ได้ขานรับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขในด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
นพ.ปราโมทย์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการใช้ยาจากสมุนไพรนั้น ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากโรงพยาบาลต่างๆ เพราะมีงานศึกษาวิจัยเพิ่มเติมมากขึ้น และการผลิตยาจากสมุนไพรก็มีมาตรฐานไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ายาแผนปัจจุบัน รวมทั้งเห็นความสำคัญของการใช้ยาจากสมุนไพรว่าจะสร้างฐานที่มั่นคงทางเศรษฐกิจและการพึ่งตนเองของประเทศได้
“แต่สิ่งที่ทางกรมฯมีความห่วงใย คือ การใช้ยาจากสมุนไพรที่เหมาะสมบนหลักฐานเชิงประจักษ์ เพราะถึงอย่างไรยาจากสมุนไพรก็คือยา จึงควรใช้เมื่อจำเป็นและใช้ด้วยความเหมาะสม ซึ่งเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา ทางกรมฯได้หารือกับสภาเภสัชกรรมในการจัดทำฐานข้อมูลสมุนไพร เพื่อรองรับการใช้งานของบุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะเภสัชกรที่ต้องทำงานด้านยา การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร การคุ้มครองผู้บริโภค และการส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งในระยะเวลา 1 ปีแรกนั้น จำเป็นจะต้องได้ฐานข้อมูลการใช้ยาจากสมุนไพรที่ใช้บ่อยในสถานพยาบาล ที่บุคลากรทางการแพทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้” นพ.ปราโมทย์ กล่าว
ด้าน รศ.(พิเศษ) ภก.กิตติ พิทักษ์นิตินันท์ สมาชิกสภาเภสัชกรรมและสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ กล่าวว่า กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก มีฐานข้อมูลด้านสมุนไพรอยู่แล้ว แต่เน้นไปทางตำรับยาแผนไทยที่มีการบันทึกในตำราการแพทย์แผนไทย แต่ในขณะนี้ทางกรมฯจะขยายฐานข้อมูลให้กว้างขึ้น เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์การใช้ยาจากสมุนไพรที่มากขึ้นทั้งในและนอกสถานพยาบาล
โดยสภาเภสัชกรรมจะรวบรวมข้อมูลงานวิจัยที่สมาชิก ได้แก่ อาจารย์ในคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่างๆ และเภสัชกรที่ทำงานด้านสมุนไพร รวมทั้งประสานข้อมูลจากหน่วยงานเครือข่ายต่างๆ มาใส่ในฐานข้อมูล เพื่อให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น เพราะการลงทุนทำฐานข้อมูลนั้นใช้งบประมาณสูง จึงไม่ควรแยกกันทำ แต่ควรประสานความร่วมมือกัน