หนุนพันธุ์ข้าวดั้งเดิม สร้างความมั่นคงทางอาหาร

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ


หนุนพันธุ์ข้าวดั้งเดิม สร้างความมั่นคงทางอาหาร thaihealth


แฟ้มภาพ


คนเอเชีย โดยเฉพาะคนไทย มีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับข้าวมาช้านาน ถือได้ว่าข้าวเป็นอาหารหลักที่ใช้ในการบริโภค คนสมัยก่อนจึงให้ความเคารพนบนอบต่อข้าว ดังจะเห็นว่ามีพิธีกรรมหลายๆ อย่างที่แสดงถึงการให้ความสำคัญต่อข้าว เช่น สู่ขวัญข้าว กินข้าวใหม่ และเมื่อมีข้าวเหลือ จำเป็นต้องทิ้ง ไม่สามารถนำกลับมาบริโภคได้อีก ก็จะมีการกล่าว ขอขมาก่อน เป็นต้น


พี่น้องชาติพันธุ์ในภาคเหนือก็เช่นกัน ต่างก็กินข้าวเป็นอาหารหลัก และมีวิถีวัฒนธรรมความเชื่อที่ให้ความเคารพนบนอบข้าวว่า มีบุญคุณใหญ่หลวงต่อการสร้างชีวิต พวกเขาทะนุถนอนเมล็ดพันธุ์ข้าวทุกเมล็ด เพื่อเก็บ รักษา ปลูก ขยายต่อ เพราะข้าวเป็นปฐมบทของความมั่นคงทางอาหาร


สุพจน์ หลี่จา นายกสมาคมสร้างเสริมสุขภาวะชุมชนชาติพันธุ์ (สสช.) บอกว่า เมื่อ สสช.ร่วมกับภาคีเครือข่ายทำเรื่องเมล็ดพันธุ์พื้นบ้านเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร ชาวลีซูก็ไปรื้อฟื้นสายพันธุ์ข้าวดั้งเดิม และพบว่าเป็นข้าวที่อร่อยมาก เกิดความรู้สึกภูมิใจ ในพันธุ์ข้าวที่ตนเองมีอยู่ ส่งผลให้เกิดการอนุรักษ์ และขยายพื้นที่ปลูกสู่พี่น้องชนเผ่าอื่นๆ ด้วย


ขณะเดียวกัน สุพจน์ เชื่อว่า เป็นมิติใหม่ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เข้ามาสนับสนุนให้พี่น้องชาติพันธุ์ฟื้นฟูและรักษาองค์ ความรู้เกี่ยวกับข้าว จะทำให้เกิดความรู้สึกหวงแหนพันธุกรรมพืชพื้นบ้าน เพื่อส่งเสริมให้เกิดความมั่นคงทางอาหาร และบริโภคอาหารที่ปลอดภัย


ในเวทีเสวนาเรื่อง "การอนุรักษ์พันธุ์ข้าวพื้นบ้านเพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน"(วิถีคน วิถีข้าว)  ที่สมาคมสร้างเสริม สุขภาวะชุมชนชาติพันธุ์  ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, สมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย (ศ.ว.ท.), เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย (คชท.) และองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย จัดขึ้นบนข่วงศึกษาวิถีชีวิตวัฒนธรรมล้านนาและชนเผ่า บริเวณสวนไม้งาม ริมน้ำกก จ.เชียงราย ทำให้เห็นภาพได้ชัดขึ้นว่าข้าว ไม่เพียงแค่เป็นอาหารหลักของคนไทย หากยังแสดงถึงอธิปไตยทางอาหาร หากนโยบายรัฐ และวิถีทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ก็ทำให้วิถีชีวิตปรับเปลี่ยนไปด้วย ชาวนาปลูกข้าวขาย แล้วซื้อข้าวกิน ซ้ำยังเก็บ เมล็ดพันธุ์เองไม่ได้ ขณะที่ผืนดินอันเป็นที่นาก็ถูกเปลี่ยนมือเป็นของนายทุนจำนวนมาก


กิ่งกานดา อานุภาพ ตัวแทนเครือข่ายชาติพันธุ์ภาคอีสาน เล่าว่า คนอีสานผูกพันกับข้าวมาตั้งแต่เกิด เพราะข้าวคือวิถีชีวิต ปลูกเอง กินเอง มาตั้งแต่เด็กอนุบาล ผลิตด้วยมืออย่างพิถีพิถัน ไม่ใช้เครื่องจักร ส่วนใหญ่จะปลูก ข้าวเหนียว เมื่อนึ่งเสร็จก็กินกับเกลือ ปลาร้า หรือผักที่ปลูกไว้ ไม่มีเนื้อ ปลา ไม่หรูหรา แต่ไม่ถือว่าชีวิตลำบาก เนื่องจากเป็นวิถีที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน  หากปัจจุบันสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ข้าวกลับไม่ใช่อาหารหลัก คนสมัยนี้ กินกับข้าวเป็นหลัก


จึงอยากให้ปลูกสำนึกเด็กให้รู้จักไปไร่นา เล่นโคลนตมในทุ่งนา ให้เขาได้สัมผัสกับความสุขแบบเรียบง่าย ซึมซับภูมิปัญญาดั้งเดิม กินทุกอย่างที่ปลูกเอง ปลอดภัยกว่าการซื้อในท้องตลาด ส่วนการคัดเมล็ดพันธุ์ข้าวนั้น ก็ทำเอง โดยส่วนตัวได้กันพื้นที่ไว้ 1 ไร่ ดูข้าวเป็น รวงๆ ถ้ามีสายพันธุ์อื่นผสม ก็จะเกิดความแตกต่าง ดึงออกได้ง่าย


อุ่นเรือน วงศ์ภักดี ประธานชนเผ่าบีซู เสริมว่า ข้าวก็เป็นวิถีชีวิต ของชนเผ่าบีซูเช่นกัน เพราะข้าวทำให้คนมีอายุยืนยาว สุขภาพ แข็งแรง ใครไม่ได้กินข้าวคงไม่มีแรง อยู่ไม่ได้ ชาวบีซูตั้งแต่เป็นทารก แม่จะหาข้าวให้กิน ไม่ให้เด็กร้องไห้ดังนั้นความเคารพในข้าวจึงมีมาก เมื่อทำข้าวตกลงพื้น บีซูจะกล่าวขอโทษ หรือในการดำรงชีวิตประจำวันถ้าข้าวมีน้อย จะนำมาต้ม เติมพืช อาหารอื่นๆ ลงไปให้พอเลี้ยงชีพ และเมื่อเข้าป่า มีแค่ห่อข้าวไม่มีกับก็ไปได้ กับข้าวไปหาจากในป่าได้ ขณะเดียวกันข้าวยังทำเป็นขนม ข้าวต้ม อาหารเส้น แปรรูปได้หลายอย่าง แต่สังเกตว่าขณะนี้เรากินข้าว กินอาหารแล้ว ชีวิตกลับไม่ยืนยาวเหมือนคนในอดีต นั่นเป็นเพราะการใส่ปุ๋ย ใส่ยา จึงจำเป็นต้องฟื้นฟูวิถีอาหารปลอดภัยแบบดั้งเดิมให้กลับคืนมา


นอกจากนี้ ยังพบว่าลูกหลาน บีซูรุ่นใหม่ ออกไปทำงานนอกบ้าน ไม่ทำนากันแล้ว ส่วนคนรุ่นเก่ายังทำนากันอยู่ หากต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ เพราะการตลาดยุคใหม่ ทำให้พันธุ์ข้าวพื้นบ้านไม่เป็นที่ต้องการ ทำแล้วกินไม่หมด ก็ขายไม่ได้ ส่งผลให้พันธุ์ข้าวท้องถิ่นหายไปเรื่อยๆ จึงคิดว่าถ้าบีซู และชาติพันธุ์ต่างๆ คิดเหมือนกัน ทำนาด้วยเมล็ดพันธุ์ข้าวท้องถิ่น เพื่อกิน และซื้อขายกันเอง เมล็ดพันธุ์ก็จะยังคงอยู่ เป็นการอนุรักษ์ได้ในระดับหนึ่ง


ขณะที่ เตือนใจ ดีเทศน์อดีตวุฒิสภาจังหวัดเชียงราย และอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ อธิบายว่าสังคมไทยผูกพันกับข้าวมาตลอด เช่น ตอนเด็ก ได้เห็นระบำเต้นกำรำเคียว พอโตขึ้นและได้ทำงานกับกลุ่มชาติพันธุ์ ก็ยิ่งได้ เห็นถึงพิธีกรรมเกี่ยวกับข้าว ได้เห็นกะเหรี่ยงปลูกพืชอาหารมากกว่า 100 ชนิดแซมในไร่ข้าว และการทำไร่หมุนเวียนของกะเหรี่ยงยังถือเป็นวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่มีการขึ้นทะเบียนไว้ด้วย สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นอธิปไตยทางอาหาร  ไม่ต้องพึ่งพาจากภายนอก  ขณะเดียวกันข้าว และพืชอาหารก็มีความสำคัญต่อจิตวิญญาณของกลุ่มชาติพันธุ์ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสืบทอดและรักษาไว้ เพราะยามใด ที่มีภัยพิบัติ ข้าวและพืชอาหารจะยัง คงอยู่ เป็นหลักพึ่งพิงของทุกคนได้


ส่วน ดร.เสถียร ฉันทะ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ย้ำว่า ทุกวันนี้ คนไทยยังกินข้าว และประชากรบนโลก ก็กินข้าวถึง 1  ใน 3 ของประชากรทั้งหมด แต่แทบ ไม่รู้ว่ากินข้าวสายพันธุ์อะไรบ้าง และคนที่รู้ก็รู้จักเพียงไม่กี่สายพันธุ์ ทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ และสายพันธุ์ข้าวลดลง ซึ่งจากการศึกษาในไร่นาของกลุ่มชาติพันธุ์ พบว่าข้าวนาหายเกือบหมด เหลือแต่ข้าวไร่


"นั่นอาจเป็นเพราะทุกวันนี้อำนาจการเข้าถึงทรัพยากรไม่ได้อยู่ที่พี่น้องชนเผ่า หรือประชาชนทั่วไปแล้ว เมื่อก่อนเคยปลูกข้าวโพด แล้วเก็บเมล็ดพันธุ์เองได้ เดี๋ยวนี้ เก็บไม่ได้ต้องซื้อที่ร้าน ข้าวเองก็เช่นเดียวกัน เขากำลังพยายามควบคุม ทำให้เราต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ในอนาคต ดังนั้นคิดว่าการอนุรักษ์ที่ดีที่สุด คือพี่น้องชาติพันธุ์ต้องเห็นความสำคัญและปลูกต่างสายพันธุ์กัน เพราะประโยชน์ของข้าวแต่ละสายพันธุ์แตกต่างกัน  ข้าวเหนียวดำ ใช้ทำขนม และ เซ่นไหว้ บางสายพันธุ์กินอร่อย บางพันธุ์มีความทนทานต่อโรค และความแห้งแล้ง ซึ่งถ้าทำได้ เช่นนี้ ข้าวพันธุ์พื้นเมืองก็จะคงอยู่ และฟื้นฟูได้


ดังนั้น ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคม โจทย์ใหญ่ของชาวนา คือจะทำอย่างไรให้เด็กๆ ที่เป็นลูกหลาน ภูมิใจกับอาชีพเกษตรกร ตามวิถีบรรพบุรุษ ไม่ต้องไปแก่งแย่งแข่งขันเพื่อทำงานในเมืองใหญ่ เพราะสิ่งที่เขามีอยู่ ทำอยู่  มีคุณค่า มีราคา ช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนมาทุกยุคทุกสมัย.



        

Shares:
QR Code :
QR Code