หนุนชาวใต้สร้างแหล่งอาหาร สู้ภัยโควิด-19

ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด


หนุนชาวใต้สร้างแหล่งอาหาร สู้ภัยโควิด-19 thaihealth


แฟ้มภาพ


สสส. ปลุกพลังชาวใต้ เนรมิตปอเนาะ สู่พื้นที่สีเขียวกินได้ แหล่งผลิตอาหารชุมชน ช่วยคนตกงาน-กลุ่มเปราะบาง สู้วิกฤตโควิด-19


ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ระบาดไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ก่อเกิด ความเดือดร้อนกระทบชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างหนัก หลายครอบครัวอยู่ด้วยความยากลำบาก กลายเป็นสังคมยากไร้ จากข้อมูลแนวโน้ม คนตกงานในสถานการณ์วิกฤต ปี 2563 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ รายงานว่า วัยทำงานมีแนวโน้มที่จะว่างงาน ร้อยละ 17.9 หรือกว่า 6 ล้านคน ที่สำคัญยังพบว่า คนว่างงานไม่มีทักษะที่ใช้ประกอบอาชีพอื่นได้ในทันที


สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เห็นความสำคัญของปัญหาที่เกิดขึ้น จึงร่วมกับภาคีคนสร้างสุขภาคใต้ และแกนนำจิตอาสาในพื้นที่ ริเริ่มโครงการฟื้นฟูคุณภาพชีวิต และพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เพื่อการสร้างเสริมสุขภาวะจังหวัดภาคใต้ โดยปรับพื้นที่ว่างเปล่าให้กลาย เป็นสวนเกษตรแหล่งผลิตอาหารของชุมชน พร้อมฝึกฝนทักษะอาชีพเพาะปลูกพืชผัก  ให้คนตกงานได้เข้ามามีส่วนร่วมสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับคนในชุมชน ในระยะยาว การฟื้นฟูคุณภาพชีวิต และพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เป็นหัวใจสำคัญของการทำงานสร้างเสริมสุขภาวะของ สสส. โดยเฉพาะในสถานการณ์วิกฤต ภาคใต้ ต้องเผชิญโรคโควิด-19 สาหัสไม่แพ้จังหวัดอื่น ภาคใต้เป็นพื้นที่สีแดงที่มีการระบาด โควิดหนักมากที่สุดในประเทศถึง 3 จังหวัด ได้แก่ สงขลา ปัตตานี และยะลา รวมผู้ป่วยสะสมกว่า 1 หมื่นคน


เกี่ยวกับเรื่องนี้ นางเข็มเพชร เลนะพันธ์ รักษาการผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. และ ผู้อำนวยการสำนักสร้างสรรค์โอกาส สสส. บอกเล่าถึงปัญหาที่พบในภาคใต้ว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 สร้างผลกระทบโดยตรงกับชุมชน และสุขภาวะของชาวใต้ ทั้งชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมว่างงานจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มรับจ้างรายวันที่ถูกเลิกจ้างจากประเทศมาเลเชีย ไม่มีเงินสำรองเลี้ยงชีพ ทำให้กระทบต่อรายได้และความเป็นอยู่ของครัวเรือน การช่วยเหลือของ สสส. ได้พัฒนาทักษะความรู้การทำการเกษตร เพื่อมุ่งสร้างความมั่นคงทางอาหารพื้นฐานในการดำรงชีวิต นำไปสู่การพึ่งพาตัวเอง โดยจัดทำโครงการนำร่องใน 5 จังหวัด 15 พื้นที่ ได้แก่ สงขลา 3 พื้นที่ ปัตตานี 3 พื้นที่ ยะลา 3 พื้นที่ นราธิวาส 3 พื้นที่ และสตูล 3 พื้นที่ ภายใต้แนวคิด พื้นที่สีเขียวกินได้ เน้นให้ชุมชนมีแหล่งผลิตอาหารด้วยตัวเอง


"โครงการฯ นี้ ช่วยให้ชุมชนลดภาระค่าใช้จ่ายยังชีพรายวัน สามารถปลูกผัก ปรุงเป็นอาหาร และสร้างรายได้ให้ครอบครัว รวมถึงสร้างอาชีพให้สามารถพึ่งพา ตัวเองได้ ซึ่งขณะนี้มีคนในชุมชนเข้าร่วมเป็นแกนนำในโครงการฯ แล้วกว่า 300 คน ภายในปีนี้ตั้งเป้าหมายจะขยายพื้นที่ให้ครอบคลุมทั้ง 14 จังหวัดในภาคใต้เพื่อกระจายความมั่นคงด้านอาหารไปสู่ผู้ได้รับผลกระทบได้กว้างขวาง" รักษาการผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าว


สถานการณ์ผลกระทบการระบาดของโควิด-19 ในภาคใต้ วิกฤตและรุนแรง และมีแนวโน้มจะกินเวลายาวนาน นายภาสกร เกื้อสุข ประธานสภาเทศบาลเมือง ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ให้ข้อมูลในพื้นที่ภาคใต้ว่า ช่วงก่อนโควิด-19 ระบาด ที่ ต.ปาดังเบซาร์ จะพบเห็นนักท่องเที่ยวหนาตา การค้าชายแดนและการขนส่งสินค้า จะคึกคัก มีโรงแรมชื่อดังเกิดขึ้นกว่า 10 แห่ง ถือเป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ แต่เมื่อต้องเผชิญโรคระบาดโควิด-19 รัฐบาลสั่งปิดประเทศ ด่านศุลากร ถูกปิดตาย การท่องเที่ยวเชิงการค้าชายแดนและการขนส่งสินค้าหยุดชะงัก โลจิสติกส์กลายเป็นอัมพาต ส่งผลกระทบรุนแรงต่อผู้ประกอบการไม่สามารถเดินต่อได้ แรงงานไทยถูกส่งตัวกลับ ตกงาน ขาดรายได้ คนในพื้นที่ไร้แหล่งทำกิน เกิดหนี้สินท่วมตัว กระทบต่อคุณภาพชีวิตคนในชุมอย่างรุนแรงราว 16,189 คน


"การระบาดระลอกสาม ซ้ำเติมคุณภาพชีวิตชาวดังเบซาร์รุนแรงขึ้นเท่าตัว ยิ่งตอกย้ำว่า การสร้างความรู้ให้คนในพื้นที่มีแหล่งผลิตอาหารด้วยตัวเอง เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชั่วโมงนี้ โครงการฯ ของ สสส. เข้ามาพลิกวิกฤตให้ชาวปาดังเบซาร์เห็นโอกาส ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่ ดึงแกนนำชุมชนเทศบาลเมืองปาดังเบซาร์ทั้ง 8 ชุมชน มาร่วมกันจัดสรรพื้นที่ในสถาบัน ปอเนาะอัรฉาดียะฮ์ ศูนย์การเรียนรู้ด้านศาสนาและวัฒนธรรมอิสลาม ที่มี พื้นที่กว่า 10 ไร่ ให้เป็นแหล่งผลิตอาหารสำหรับบริโภคให้ชาวปาดังเบซาร์ ได้อยู่รอด" นายภาสกร กล่าว


เสียงจากพื้นที่ นางหวันซะ บิละเตะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันปอเนาะอัรฉาดียะฮ์ ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา บอกว่า สถาบันปอเนาะอัรฉาดียะฮ์ มีนักเรียนประจำกว่า 40 คน การระบาดของโควิด-19 ทำให้ต้องหยุดการเรียนการสอน เด็กบางคน กำพร้าพ่อแม่ เดินทางผิดไปพึ่งยาเสพติด ที่น่าตกใจ พื้นที่ที่เคยเป็นสถานศึกษาต้องกลายเป็นพื้นที่ที่เปล่าประโยชน์ โครงการฯ ของ สสส. ทำให้สถาบันปอเนาะฯ กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เนรมิตพื้นที่ 2 ไร่ที่ว่างเปล่าเป็นแปลงปลูกผักสวนครัวปลอดสารพิษขนาดใหญ่ มีทั้งผักกาด ผักบุ้ง มะเขือ ฟาร์มเลี้ยงไก่ และวัว อีก 1 หลัง โดยมีคนในชุมชนที่ตกงาน เข้ามาเรียนรู้ทักษะการเกษตรและร่วมเป็นอาสาสมัครดูแลแปลงผัก และนักเรียนได้กลับมาใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ทำหน้าที่ดูแลฟาร์มเลี้ยงสัตว์กว่า 30 คน


ที่สถาบันปอเนาะฯ มีกฎกติการ่วมกันในชุมชนง่ายๆ 2 ข้อ คือ 1. ทุกวันจะต้องมี จิตอาสาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนช่วยกันรดน้ำ พรวนดิน ปลูกผัก ให้อาหารไก่และวัว และ 2. ทุกสัปดาห์จะต้องจัดเก็บผักสวนครัวปลอดสารเคมีราว 20 กิโลกรัม กระจายสู่ผู้ได้รับผลกระทบในชุมชน โดยจะแบ่งปันกลุ่มเปราะบางเป็นอันดับแรก ทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการในชุมชน กว่า 40 คน ผักอีกส่วนจะนำไปขายได้เป็นเงินหมุนเวียนประมาณ 200-300 บาทต่อสัปดาห์ นอกจากกลุ่มเปราะบางสามารถเข้าถึงอาหารทั้งในสถานการณ์ปกติและสถานการณ์วิกฤตแล้ว ยังเสริมทักษะทำเกษตรปลอดสารพิษเป็นอาชีพและ รายได้เลี้ยงชีพในระยะยาวให้กับคนในพื้นที่และเยาวชนเพื่อรับความเสี่ยงว่างงาน ในอนาคตอีกด้วย


"การสร้างแหล่งอาหารชุมชน ประสบผลสำเร็จได้เพราะแกนนำอาสาสมัครจากชุมชนที่ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ ทำเกษตรจากพื้นที่ว่างเปล่าให้เป็นแหล่งอาหารชุมชนได้  พืชผักที่ปลูก ไก่-วัวที่เลี้ยง ทำให้ได้ผลผลิตงอกงาม ที่น่าดีใจคือ สสส. เข้ามา สานความร่วมมือในพื้นที่ ทำให้ชาวชุมชนเข้าถึงประโยชน์จากแหล่งอาหารเพื่อนำไปประกอบอาหารในครัวเรือนได้ ลดความเปราะบางด้านอาหารให้อยู่รอดไม่ว่าจะเผชิญวิกฤตอีกกี่ระลอกก็ตาม" นางหวันซะ กล่าวทิ้งท้าย


สสส. พร้อมสร้างพื้นที่ความมั่นคงทางอาหาร เพื่อฟื้นฟูคุณภาพชีวิต และพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้กับชุมชนที่สนใจ โดยสามารถสอบถามและติดตามข้อมูลได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ "สร้างสุขภาคใต้"

Shares:
QR Code :
QR Code