‘หนังสือเปิดโลก’จุดเปลี่ยนเด็กพิเศษ

          /data/content/24596/cms/e_abghlptuwy35.jpg


         เป็นความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องที่แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พร้อมจะผลักดันการปลูกฝังนิสัยเด็กไทยรู้รักการอ่าน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำคัญของการยกระดับคุณภาพชีวิต ล่าสุดเปิดเวทีเสวนาในงานอภิวัฒน์การอ่าน จุดเปลี่ยนประเทศไทย ขยายองค์ความรู้สู่ผู้คนเข้าใจและเข้าถึงแนวทางการสั่งสมคุณภาพเด็กไทยด้วยการอ่าน สามารถสร้างสุขแก่ครอบครัวและสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ


          สุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. เกริ่นว่า ทุกย่างก้าวล้วนต้องเริ่มต้นจากการอ่าน แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านได้เน้นส่งเสริมเรื่องนี้กับเด็กน้อยตั้งแต่ช่วงวัย 0-9 ขวบ ให้ได้มากที่สุด เพราะเป็นการฝังเสาเข็มหลักลงในชีวิตเด็กทุกคน ซึ่งจะช่วยบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์นี้เป็นอริยทรัพย์ติดตัวไปตลอดชีวิต มีงานวิจัยต่างๆ ชี้ชัดว่าเด็กช่วงวัยนี้สมองเติบโตมากที่สุด หากละเลยช่วงนี้ไป พัฒนาการทางสมองจะค่อยๆ ลดลงและความสามารถด้านใดที่ไม่เคยถูกบ่มเพาะเลยวัยนี้สมองก็จะลิดรอนความสามารถด้านนี้ไป


          แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน จึงเปิดทุกกิจกรรมเพื่อให้ทุกครอบครัวเรียนรู้และสัมผัสกับสิ่งรอบตัวจริง โดยมีหนังสือเป็นสื่อมอบความรู้ให้กับครอบครัว เกิดสายสัมพันธ์ที่ดีเชื่อมโยงสังคม เพราะพลังของการอ่านมีผลสะท้อนกลับต่อเด็ก ครอบครัว และสังคมได้เกินความคาดหมาย


          ทั้งยังได้เปิดกว้างกิจกรรมส่งเสริมการอ่านไปสู่ครอบครัวที่มีบุตรหลานที่อยู่ในภาวะออทิสติก ด้วย เพราะหนังสือนับเป็นเครื่องมือที่ดีต่อการเปิดโลกทัศน์ให้กับเด็กกลุ่มนี้ได้พัฒนาสมองและการเรียนรู้


          จากประสบการณ์ตรงของ นฏชมน นิลอ่อน 'แม่สาว' มีลูกคนเล็ก 'น้องพลาย' ซึ่งพบว่าช่วงวัย 2 ขวบ 8 เดือน /data/content/24596/cms/e_acfknqrsyz78.jpgแสดงอาการไม่สบตา เล่นคนเดียว กระตุ้นตัวเองสะบัดมือ เขย่งเท้า ไม่พูด ได้แต่ส่งเสียงกรี๊ดเวลาไม่ได้ดังใจ เวลาออกข้างนอกก็จะเดินไม่หยุด ไม่ฟังใคร กลัวสิ่งที่ไม่ควรจะกลัว ทำอะไรเองไม่ได้


          คุณแม่เปิดอกเล่าเพื่อเป็นกำลังใจสู่ครอบครัวอื่นว่า ยอมรับเคยจมความทุกข์ราว 3 เดือน ช่วงแรกที่ทราบต้องใช้ความอดทน ปรับความคิดใหม่ให้เป็นบวกและยอมรับสิ่งที่เกิด ตั้งหลักอีกครั้งเพื่อหันหน้า เลี้ยงเขาด้วยความเข้าใจและใจเย็น พร้อมทั้งต้องคอยอธิบายสามีและปรึกษาร่วมกัน จนปรับตัวยอมรับ กลายเป็นผู้ช่วยในการเลี้ยงลูกเป็นอย่างดี ทำให้ครอบครัวมีความสุข


          สะท้อนให้เห็นถึงความรักความอบอุ่นเกิดกับ "น้องพลาย" จากพัฒนาการดีขึ้นมาก เห็นผลทั้ง 3 ด้าน คือ


          1.ทางร่างกาย ใช้การออกกำลังกายแก้ปัญหากล้ามเนื้อข้อต่อหลวม แขนขาไม่แข็งแรง


          2.อารมณ์ และสังคมฝึกทุกอย่างตามสถานการณ์จริง เมื่อร่วมกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นบ่อยครั้ง


          และ 3.ด้านการสื่อสาร การพูด การเรียนรู้ โดยใช้หนังสือเป็นสื่อสำคัญ เป็นหัวใจที่ทำให้เป็นคนรักการอ่านไปโดยปริยาย อ่านออกเขียนได้ทั้งที่ยังไม่เข้าเรียน ตลอดจนยังช่วยกระตุ้นพัฒนา การทางด้านทักษะสิ่งแวดล้อมรอบด้าน เช่น ฝึกการอ่านป้ายห้ามต่างๆ เพื่อไม่ทำในสิ่งที่ห้ามโดยเราไม่ต้องคอยเตือนได้อีกด้วย


          "ลูกกลายเป็นพลังวิเศษ ทำให้ครอบครัวคิดแบ่งปันวิธีฝึกกับเด็กกลุ่มนี้ไปยังครอบครัวอื่น กระทั่งเขาเห็นประโยชน์ จนเกิดการสนับสนุน ทำให้ขยายแนวทางการปลดล็อกปัญหาแก่สังคมได้เป็นอย่างมาก แม่ก็มีความสุขมาก และได้ตั้งเฟซบุ๊ก ในนาม 'แม่สาว น้องพลาย' ขึ้น เพื่อส่งต่อวิธีที่เราใช้กับลูก ตั้งกลุ่มกับแม่ๆ ที่มีแนวทางเดียวกัน แบ่งปัน ชื่อกลุ่ม ศักยภาพพลังบวกออทิสติก และสร้างเพจนิทานสร้างได้ขึ้น บอกต่อกิจกรรมการใช้นิทานกับเด็กๆ กลุ่มพิเศษ ตามกำลัง และเวลาที่มี โดยยึดการดูแลลูกเป็นหลักก่อน"


          สิ่งที่พยายามจะทำโครงการนิทานสร้างได้ เกิดเป็นรูปธรรม คือ การส่งความสุขและพัฒนาการแก่เด็กๆ ทั้งในโรงเรียน และศูนย์บริการต่างๆ ที่มีเด็กกลุ่มนี้เรียนร่วม ผ่านคุณครูและผู้ปกครองได้นำหนังสือไปใช้ฟื้นฟู และยกระดับน้องๆ ลดปัญหาสังคม ซึ่งมีผู้ใหญ่ใจดี อย่างแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส., สำนักพิมพ์ประภาคาร มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก ร่วมจัดกิจกรรม มอบหนังสือ และอุปกรณ์ส่งเสริมพัฒนาการแก่เด็กๆ บ้างแล้ว ล่าสุดแม่ยังเขียนโครงการของบประมาณ ผ่านไปยังชมรมของสถาบันราชานุกูล นำมาทำกิจกรรมนี้ด้วย


          ปัจจุบันการฟื้นฟูเด็กกลุ่มนี้ ทุกครอบครัวยังทำบนฐานพึ่งตนเอง แม้จะมีสถาบันช่วยเหลือเด็กเหล่านี้มากขึ้น แต่/data/content/24596/cms/e_deglopqvyz37.jpgการช่วยเหลือยังไม่ตรงจุด ไม่ต่อเนื่อง เข้าไม่ถึงปัญหาแท้จริง อยากฝากสังคมว่า โปรดเข้าใจเด็กกลุ่มนี้ให้มากขึ้น เพื่อให้เด็กมีที่ยืนและแสดงศักยภาพในสังคม ครอบครัวต้องไม่ท้อ อย่ากลัว กังวล เพียงแต่เปิดใจให้กว้าง ทุ่มเท เสียสละดูแลลูกด้วยหนังสือ ถือเป็นเครื่องมือสร้างการพัฒนาได้อย่างดี ที่อยากเห็นมากที่สุดคือ การมีกิจกรรมนิทานวิเศษ เพื่อเด็กพิเศษ ไปทั่วประเทศจะเติมคุณค่าชีวิตเด็กเหล่านี้ให้ดีขึ้นแน่นอน


          หากทุกครอบครัวเพียงแต่เปิดใจ มองโลกให้กว้าง หนังสือคือสูตรสำเร็จของการอ่านอันมีค่าในการเปิดโลกทัศน์ทั้งต่อตนเองและลูกน้อย สร้างสุขและรอยยิ้มในทุกสภาวะครอบ ครัวด้วยหนังสือ ถือเป็นเครื่องมือสร้างการพัฒนาอย่างดี ที่อยากเห็นมากที่สุดคือ การมีกิจกรรมนิทานวิเศษเพื่อเด็กพิเศษ ไปทั่วประเทศจะเติมคุณค่าชีวิตเด็กเหล่านี้ให้ดีขึ้น


 


 


         ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด


         ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

Shares:
QR Code :
QR Code