หญิงไทยยุคใหม่(ต้อง)ห่างไกลบุหรี่

อย่าหลงกลบริษัทบุหรี่

หญิงไทยยุคใหม่(ต้อง)ห่างไกลบุหรี่

 

 

เวียนมาถึงอีกครั้งสำหรับ วันงดสูบบุหรี่โลก ตรงกับวันที่ 31 พฤษภาคมของทุกปี ในปีนี้องค์การอนามัยโลกได้กำหนดคำขวัญในการรณรงค์คือ Gender and tobacco with an emphasis on marketing to women หรือ หญิงไทยฉลาดไม่เป็นทาสตลาดบุหรี่

 

 ปัจจุบัน สถานการณ์การสูบบุหรี่ของผู้หญิงของทั่วโลก และในประเทศไทย มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่บริษัทบุหรี่พยายามรุกตลาดบุหรี่สำหรับผู้หญิง เพื่อให้ผู้หญิงสูบบุหรี่เพิ่มขึ้น มาชดเชยกับตลาดบุหรี่ผู้ชายที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจากการรณรงค์

 

 โดยจากข้อมูลการบริโภคยาสูบของ 151 ประเทศ ทั่วโลกพบว่า มีวัยรุ่นหญิงสูบบุหรี่เฉลี่ย 7% แต่ในขณะที่บางประเทศวัยรุ่นหญิงก็สูบบุหรี่ใกล้เคียงกับผู้ชายคือ 12% ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้น

 

 สำหรับประเทศไทย มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ได้สำรวจอัตราการสูบบุหรี่ของคนไทยล่าสุด เมื่อปี 52 พบว่า มีคนไทยสูบบุหรี่ทั้งสิ้น 12.5 ล้านคน จากประชากรทั้งหมด 63 ล้านคน แบ่งเป็น หญิงไทยสูบบุหรี่ 8 แสนคน คิดเป็น 3.1% ของประชากรทั่วประเทศ  เท่ากับในหญิงไทย 100 คน จะสูบบุหรี่ 3 คน ส่วนชายไทยสูบบุหรี่ มีมากถึง  11.7 ล้านคน คิดเป็น 45.6% ลดลงจากปีก่อนที่ชายไทยมีอัตราการสูบบุหรี่มากถึง 70%

 

 เมื่อนำอัตราส่วนของผู้สูบบุหรี่ทั้งหญิงและชายในประเทศไทยมาเปรียบเทียบกันแล้ว พอที่จะสรุปได้ว่า  การที่หน่วยงานต่างๆได้ทำการรณรงค์ไม่สูบบุหรี่อย่างต่อเนื่องในชายไทยนั้น ทำให้ยอดการสูบบุหรี่ของผู้ชายลดจำนวนลงอย่างเห็นได้จริง แต่เมื่อเทียบกับทางฝ่ายหญิงแล้วพบว่า  ถึงแม้จำนวนผู้สูบบุหรี่ที่เป็นผู้หญิงยังคงมีจำนวนน้อย แต่ก็เพิ่มจำนวนนักสูบหญิงหน้าใหม่ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็อาจทำให้มีแนวโน้มจำนวนหญิงไทยสูบบุหรี่มากขึ้นในอนาคต

 

ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดนักสูบหน้าใหม่ขึ้นในกลุ่มวัยรุ่นหญิงที่สำคัญที่สุดคือ มีเพื่อนหญิงในกลุ่มสูบบุหรี่ ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการเลียนแบบ และลองทำตาม รวมไปถึงการชักชวนของเพื่อนที่สูบเพื่อที่จะได้มีเพื่อนหน้าใหม่ที่สูบเพิ่มขึ้น

 

 นอกจากนั้น ปัจจัยในด้านของครอบครัวก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน โดยจากผลสำรวจพบว่า หากครอบครัวใดที่มีพี่สาวสูบบุหรี่ โอกาสที่วัยรุ่นหญิงจะสูบบุหรี่มีมากถึง 9 เท่า และถ้ามีแม่สูบบุหรี่ก็จะเพิ่มโอกาสในการสูบบุหรี่เป็น 6 เท่า ส่วนถ้ามีพ่อสูบบุหรี่โอกาสก็จะเพิ่มโอกาสเป็น 1.6 เท่า 

 

จุดนี้เองที่สามารถกล่าวได้ว่า สภาพสังคมรอบข้างของวัยรุ่นหญิงไทยในตอนนี้ ถือว่าน่าเป็นห่วงมากที่สุด เพราะตามข้อมูลข้างต้นจะสังเกตเห็นได้ว่า วัยรุ่นหญิงที่เริ่มสูบบุหรี่จะเริ่มจากพฤติกรรมเลียนแบบ ทั้งในส่วนของเพื่อน และส่วนของครอบครัว โดยจากการสังเกตและการสัมผัสควันบุหรี่โดยตรง และสำหรับวัยรุ่นหญิงที่ไม่สูบก็มีโอกาสที่จะได้รับควันบุหรี่มือสองจากบุคคลอื่นในครอบครัวที่สูบบุหรี่ แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรง

 

 อันตรายต่อสุขภาพของผู้หญิงที่สูบบุหรี่ จะพบว่า มีโอกาสเกิดโรคร้ายต่างๆ ได้มากขึ้น ทั้งโอกาสเกิดมะเร็งปอด ที่สามารถเป็นได้ง่ายกว่าผู้ชายเพราะฮอร์โมนที่ต่างกันของเพศหญิงและชาย  โอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูก โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหัวใจวาย และโรคเส้นเลือดในสมองตีบ รวมถึงการทำให้แก่ก่อนวัย มีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังและใบหน้าโดยมีรอยย่นมากขึ้น ริมฝีปากคล้ำ มีปัญหาโรงช่องปาก และยังจะทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ช้าหรือไม่มีบุตรมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 3 เท่า

 

 ที่สำคัญคือ ผู้หญิงที่ติดบุหรี่จะเลิกบุหรี่ยากกว่าผู้ชาย เพราะจะมีอารมณ์หงุดหงิดมากกว่าผู้ชายในช่วงที่จะเลิกสูบบุหรี่ และยังกังวลถึงเรื่องน้ำหนักตัวที่จะเพิ่มขึ้นหลังจากการสูบ ที่น่าตกใจคือ ผู้หญิงที่ยังเลิกบุหรี่ไม่ได้มีโอกาสที่จะเสียชีวิตในวัยกลางคนมากถึง 50 % 

 

สอดคล้องกับสถิติหญิงไทยที่เสียชีวิตจากบุหรี่ในปี 2547 พบว่ามีจำนวนถึง 5,793 คน แบ่งเป็นเสียชีวิต จากมะเร็งปอด 2,489 คน  ถุงลมโป่งพอง 1,361 คน โรคหัวใจและหลอดเลือด 762 คน มะเร็งชนิดอื่นๆ 396 คน และ 785 คน  เป็นโรคอื่นที่เกิดจากการสูบบุหรี่

 

 เห็นสถิติการเสียของผู้หญิงจากการสูบบุหรี่ดังนี้แล้ว หลายๆ หน่วยงานในประเทศไทยจึงร่วมมือกันเพื่อเอาจริงเอาจังกับการรณรงค์การไม่สูบบุหรี่ในผู้หญิง เช่น การสร้างความตระหนักให้เห็นถึงพิษภัยต่างๆ ที่เกิดจากบุหรี่ การเข้มงวดในการโฆษณาบุหรี่ในรูปแบบต่างๆ การสร้างความเข้าใจในวัยรุ่นหญิงให้รู้เท่าทันกลยุทธ์บริษัทบุหรี่ เป็นต้น เพื่อที่จะสามารถป้องกันการสูบบุหรี่ของหญิงไทยได้ โดยนอกจากจะสามารถลดจำนวนผู้ป่วยหญิงที่เจ็บป่วยและเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ได้จำนวนมากในอนาคตแล้ว ยังเป็นการป้องกันการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้คุ้มค่าที่สุด

 

 ทั้งนี้ ทุกคนควรร่วมมือกันเพื่อให้จำนวนนักสูบไม่ว่าจะชายหรือหญิงลดจำนวนลง และทำให้ค่านิยมการสูบบุหรี่ค่อยๆ หมดไปจากสังคมไทย และทั่วโลก โดยเริ่มต้นจากตัวเราเอง ก่อนขยายไปสู่ชุมชน สังคม ประเทศในที่สุด

 

 หากทำได้สำเร็จในอนาคต เยาวชนของเรา ก็จะไม่มีทางรู้จักกับคำว่า สิงห์อมควันและบุหรี่ ที่เป็นมหันต์ภัยร้าย อย่างแน่นอน 

 

 

 

 

 

 

ที่มา: คมสัน ไชยองค์การ Team content www.thaihealth.or.th

 

 

 

Update: 31-05-53

อัพเดตเนื้อหาโดย: คมสัน ไชยองค์การ

 

Shares:
QR Code :
QR Code