‘ส้มแก้ว’ ผลไม้ท้องถิ่น ดึงเยาวชนร่วมอนุรักษ์

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ 


ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


'ส้มแก้ว' ผลไม้ท้องถิ่น ดึงเยาวชนร่วมอนุรักษ์ thaihealth


"ส้มแก้ว" ผลไม้พื้นถิ่นตำบลบางสะแก อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม มีลักษณะคล้ายส้มโอผสมส้มเขียวหวาน เปลือกสีเหลืองทอง เนื้อฉ่ำหวาน เป็นไม้ผลที่ให้ผลผลิตมากและสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรถึงปีละกว่าแสนบาทเลยทีเดียว


จังหวัดสมุทรสงครามประกอบไปด้วย 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองสมุทรสงคราม อำเภออัมพวา และอำเภอบางคนที เป็นจังหวัดที่มีการทำอาชีพเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากสภาพพื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางด้านกายภาพ โดยเฉพาะตำบลบางสะแก อ.บางคนที ซึ่งมีการทำเกษตรเป็นหลัก เช่น ปลูกลิ้นจี่ ส้มโอ ซึ่งเป็นผลไม้ขึ้นชื่อ แต่ยังมีผลไม้พื้นถิ่นอีกชนิดที่เป็นจุดเด่นอีกอย่างของเมืองแม่กลอง นั่นก็คือ "ส้มแก้ว"


นวพล กอสนาน นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนถาวรานุกูล บอกว่า ปัจจุบันการปลูกส้มแก้วในพื้นที่ของแม่กลองมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากส้มแก้วเป็นผลไม้ที่ดูแลรักษายาก และมีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูง เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เพียงปีละครั้ง (ออกในช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์) กว่าจะได้เงินก็ต้องเสียเวลารอคอยนาน จึงกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้เกษตรกรหลายคนถอดใจเลิกปลูกส้มแก้ว และหันไปปลูกส้มโอแทน เพราะให้ผลผลิตเร็วกว่า รอประมาณ 7-8 เดือนก็เก็บผลผลิตออกขายได้ นี่จึงเป็นเหตุผลให้คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยรู้จักไม้ผลชนิดนี้สักเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่เป็นผลไม้พื้นถิ่นในชุมชน


'ส้มแก้ว' ผลไม้ท้องถิ่น ดึงเยาวชนร่วมอนุรักษ์ thaihealth


จากปัญหาดังกล่าว ทำให้นวพล และเพื่อนอีก 4 คน ประกอบด้วย น.ส.ปภาวดี บุญมาก ชั้น ม.6 นายอาทิตย์ ตาลประเสริฐ ชั้น ม.4 ด.ญ.บุษ ยากร รุ่งอุทัย และ ด.ญ.ศุดารัตน์ ศรีสุวรรณ ชั้น ม.3 โรงเรียนถาวรานุกูล รวมตัวกันทำโครงการส้มแก้วต้อง STRONG ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตก ปี 2 ดำเนินงานโดยศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จ.สมุทรสงคราม สนับสนุนโดยมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ สสส.เพื่อหาสืบค้นเรื่องราวของส้มแก้ว


"ตอนแรกที่ไปสำรวจข้อมูลจากผู้รู้ในชุมชน ทำให้รู้ว่าส้มแก้วนี้เป็นผลไม้ที่มีมาตั้งแต่รัชกาลที่ 2 และนำเข้ามาโดยคนจีนที่มาอยู่อาศัยในประเทศไทย ซึ่งคนสมัยนั้นนิยมนำส้มแก้วเป็นของกำนัลไปถวายเจ้านายชั้นสูงในวัง ก็เลยรู้สึกว่าส้มแก้วน่าจะมีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย จึงได้ไปชวนเพื่อนมาทำโครงการด้วยกัน" นวพลกล่าว


หลังจากนั้นพวกเขาได้ลงพื้นที่สำรวจอย่างจริงจัง และนับว่าเป็นความโชคดีที่พวกเขาได้ลงไปเรียนรู้กับผู้รู้ในชุมชนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกับลุงเสงี่ยม ทรงหิรัญ เกษตรกรเจ้าของสวนส้มแก้ว อ.บางคนที ที่นอกเหนือจากการรับฟังข้อมูลแล้ว พวกหนุ่มสาวกลุ่มนี้ยังได้เทคนิคต่างๆ ในการดูแลส้มแก้วให้มีคุณภาพดี และมีผลผลิตเยอะอีกด้วย เช่น การขยายพันธุ์ การดูแล การห่อผลส้มแก้วให้มีสีสวยน่ารับประทาน รวมถึงเทคนิคการนำเกลือมาโรยรอบๆ โคนต้นส้มแก้ว เพื่อทำให้มีรสชาติที่กลมกล่อมขึ้น เป็นต้น


ปภาวดีบอกว่า จากการได้ลงไปเรียนรู้เรื่องส้มแก้วนั้น ทำให้พวกเราได้เข้าใจถึงสาเหตุของการหายไปของส้มแก้ว และยังได้รู้อีกว่าในชุมชนของตนเองนั้นยังมีต้นทุนเรื่องของพื้นที่ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบและแตกต่างจากที่อื่น หากสังเกตให้ดี ส้มแก้วจะมีมากใน ต.บางสะแก ก็เป็นเพราะในพื้นที่นี้มีลักษณะเป็นเกาะมีน้ำล้อมรอบ โดยมีการทำสวนแบบยกร่อง และด้วยความที่น้ำจะท่วมพื้นที่นี้ตลอดเวลา น้ำก็พัดแร่ธาตุต่างๆ กับดินจากที่อื่นเข้ามาด้วย ทำให้สภาพดินที่ทับถมกันหลายที่ มันก็เลยไม่ใช่แค่ดินร่วน ดินทรายหรือดินเหนียว แต่ดินทุกดินจะมาอยู่ที่นี่จึงเกิดความอุดมสมบูรณ์ และทำให้ ต.บางสะแกมีส้มแก้วที่มีรสชาติอร่อยกว่าที่อื่น


นอกจากนี้ส้มแก้วเป็นพืชที่ชอบความชื้น และแสงแดดรำไร จึงทำให้ทุกวันนี้มีเกษตรกรบางรายได้เริ่มหันมานิยมปลูกแซมกับต้นไม้ชนิดอื่น


"โดยธรรมชาติแล้วส้มแก้วเป็นพืชที่ชอบสภาพอากาศเย็น สามารถเจริญเติบโตดีในสภาพสวนที่ร่มเงาไม้ปกคลุม หากได้รับการดูแลที่ดีก็จะได้ผลผลิตเป็นจำนวนมาก อย่างปี 2550 ที่ผ่านมา บางสวนก็ให้ผลผลิตเป็นพันลูกต่อต้น ซึ่งมีคนจากพื้นที่อื่นสนใจนำไปทดลองปลูกเช่นกัน แต่ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร จึงคิดว่า สภาพดิน น้ำ อากาศ อาจมีผลต่อการเจริญเติบโตของส้มแก้วด้วยเช่นกัน" ปภาวดีกล่าว


ปภาวดีกล่าวอีกว่า อีกอย่างเราเป็นลูกหลานที่อยู่ในตำบลนี้ จึงอยากจะอนุรักษ์ผลไม้พื้นถิ่นชนิดนี้ไว้ ในขณะเดียวกันก็อยากจะเผยแพร่ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับส้มแก้ว ให้แก่คนในชุมชนสำหรับการนำไปปลูกในพื้นที่ของเขาด้วยเช่นกัน


มนัส บุญพยุง กำนันตำบลบางสะแก กล่าวว่า ปัญหาส่วนใหญ่ของที่นี่จะเป็นเรื่องที่พ่อแม่ส่งลูกออกไปเรียนนอกพื้นที่ เราจึงมีความกังวลว่า หากเด็กบางคนที่ออกไปอยู่นอกพื้นที่แล้วเขาไม่กลับมา จะส่งผลให้เกิดปัญหาประชากรไหลออก และไม่มีเด็กในพื้นที่หลงเหลืออยู่ ซึ่งนั่นอาจหมายถึงว่า ชุมชนของเราก็จะขาดแคลนกำลังคนรุ่นใหม่ที่มาสืบสานการทำเกษตรกรรมที่เป็นอาชีพสำคัญของคนในชุมชน


"ผมจึงมองว่า เด็กกลุ่มนี้เราควรสนับสนุน เพราะอย่างน้อยเขาก็เป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่ลุกขึ้นมาสนใจสถานการณ์ปัญหารอบบ้านตัวเอง ไม่นิ่งดูดาย และพร้อมที่จะลุกขึ้นมาช่วยเหลือชุมชน ดังนั้น การที่ให้เด็กได้เข้ามาทำโครงการนี้เท่ากับได้เปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้เข้ามามีส่วนร่วมกับชุมชนในการคิดและแก้ปัญหาของชุมชน และนำไปสู่การอนุรักษ์พืชท้องถิ่นให้ฟื้นกลับมาในชุมชนอีกครั้ง" กำนัน ต.บางสะแก เผย


'ส้มแก้ว' ผลไม้ท้องถิ่น ดึงเยาวชนร่วมอนุรักษ์ thaihealth


มนัสกล่าวว่า ถึงแม้ว่าในปัจจุบันผลผลิตทางการเกษตรอย่างส้มโอจะเป็นพืชที่สร้างรายได้หลักให้ชาวแม่กลองก็ตาม แต่ด้วยความที่ "ส้มแก้ว" มีลักษณะคล้ายส้มเขียวหวาน แต่มีผิวที่สวยออกสีเหลืองทอง รสชาติอร่อยจัดจ้านหวานอมเปรี้ยว และขนาดผลใหญ่กว่าส้มเขียวหวานเกือบเท่าตัว หากลองชั่งน้ำหนักดู ก็จะรู้ว่าแค่ส้มแก้วเพียง 2-3 ผล มีหนักประมาณ 1 กิโลกรัม อีกทั้งในปัจจุบันส้มแก้วยังเป็นไม้ผลที่มีความต้องการทางการตลาดสูง ขายได้ราคาดี ราคาเฉลี่ย 80-120 บาทต่อกิโลกรัม ยิ่งช่วงหน้าเทศกาลปีใหม่ ตรุษจีน และงานบุญต่างๆ โดยเฉพาะคนจีนส่วนใหญ่จะนิยมนำส้มแก้วขึ้นหิ้งบูชาพระ เพราะถือว่าเป็นผลไม้มงคล ไม่แน่ว่าในอนาคต การปลูกส้มแก้วอาจจะกลับมาคึกคักจนกลายเป็นพืชเศรษฐกิจอีกชนิดที่ช่วยเพิ่มโอกาสเสริมรายได้ให้เกษตรกรที่นี่อีกทางหนึ่งก็เป็นไปได้.

Shares:
QR Code :
QR Code