ส่งคืนอาชีพ-สุขภาวะที่ดีให้คนริมโขง

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์


ภาพประกอบจาก สสส.


ส่งคืนอาชีพ-สุขภาวะที่ดีให้คนริมโขง thaihealth


“สุขภาวะ” นอกจากจะเป็นเรื่องของสุขภาพทางร่างกาย ยังรวมไปถึงสุขภาพจิตใจ สุขภาพทางสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย ทั้งนี้ การที่จะมีสุขภาวะที่ดีได้นั้น มิได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลรวมจากปัจจัยเหล่านี้ร่วมกัน


เช่นเดียวกับ สสส. ที่เล็งเห็นปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อการเกิดสุขภาวะที่ดีได้ในอนาคต จนนำมาซึ่งงานเสวนา“ทิศทางการจัดการทรัพยากรลุ่มน้ำโขง จากงานวิจัยเชิงปฏิบัติการโดยชุมชนลุ่มน้ำโขง” ร่วมกับ มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และภาคีเครือข่าย เพื่อนำเสนอแลกเปลี่ยนผลการทำวิจัยโดยชุมชน อีกทั้งร่วมกันแก้ปัญหาและฟื้นฟูระบบนิเวศในลุ่มน้ำโขงที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชากรริมน้ำโขงทั้ง 7 จังหวัด ได้แก่ เลย, หนองคาย, บึงกาฬ, นครพนม, มุกดาหาร, อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี รวมทั้งสิ้น 22 งานวิจัย/พื้นที่


ส่งคืนอาชีพ-สุขภาวะที่ดีให้คนริมโขง thaihealth


ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส. ได้ให้ข้อมูลถึงที่มาของความร่วมมือในครั้งนี้ไว้ว่า สสส. ได้ร่วมกับมูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และภาคีเครือข่าย ร่วมสนับสนุนการจัดทำข้อมูลเชิงวิชาการเพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาระบบนิเวศลุ่มน้ำโขง ที่มีสาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ รวมไปถึงการสร้างเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าบนแม่น้ำสายหลักในต่างประเทศ ที่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อชาวบ้านนับ 1,000 หมู่บ้านในหลายจังหวัดริมลุ่มน้ำโขง ที่ประกอบทั้งอาชีพประมง การเกษตร และผู้เลี้ยงปลากระชัง จนทำให้ขาดรายได้และแหล่งอาหารโปรตีนจากธรรมชาติที่ได้จากปลานานาชนิด โดยงานเสวนานี้ถือเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ และสรุปบทเรียน เพื่อนำไปสู่การขยายผลในพื้นที่อื่น ๆ พร้อมร่วมหารือสู่การเสนอเป็นนโยบายระดับประเทศ


“เราร่วมกันขับเคลื่อนโครงการฯ มาตลอด 2 ปี โดยครั้งนี้ สสส. เข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนข้อมูลเชิงวิชาการ อาทิ การให้ข้อมูลเรื่องผลกระทบ รวมไปถึงการประกอบอาชีพ อีกทั้งยังมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการปรับตัวให้กับคนในชุมชน เพื่อร่วมกันพัฒนาสู่โครงการวิจัยในระดับต่อไป ก่อนพัฒนาเป็นชุมชนต้นแบบด้านสุขภาวะใน 22 พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ”


ส่งคืนอาชีพ-สุขภาวะที่ดีให้คนริมโขง thaihealth


นายมนตรี จันทวงศ์ หัวหน้าโครงการวิจัยและพัฒนาชุมชนต้นแบบด้านสุขภาวะฯ กล่าวว่า มูลนิธิทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้กับตัวแทนนักวิจัยซึ่งเป็นคนในชุมชน ได้ลงพื้นที่สำรวจผลกระทบ และกำหนดทิศทางแก้ไขที่เหมาะสม โดยจำแนกชุมชนออกเป็น 7 กลุ่ม (1) กลุ่มที่มีภาคีความร่วมมือกับหน่วยงานของกรมประมงอย่างต่อเนื่อง คือ กลุ่มที่เรียนรู้การเพาะพันธุ์ปลากับกรมประมง จัดประชุมระดมความคิดเห็นต่างๆ (2) กลุ่มที่มีภาคีความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คือ กลุ่มที่ประสานความร่วมมือกับ อบต. ในการลงพื้นที่สำรวจระบบนิเวศและทำกิจกรรมร่วมกัน (3) กลุ่มที่บูรณาการแผนอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำร่วมกับการท่องเที่ยวชุมชน คือ กลุ่มที่นำวัฒนธรรมชุมชนมาประชาสัมพันธ์ควบคู่ไปกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์


(4) กลุ่มที่มีการติดตามตรวจวัดการเจริญเติบโตของพันธุ์สัตว์น้ำในเขตพื้นที่อนุรักษ์ (5) กลุ่มที่มีแผนการขุดลอกในพื้นที่เขตอนุรักษ์ให้สอดคล้องกับระบบนิเวศหนองน้ำเดิม เพื่อเตรียมแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำให้มีความพร้อมในช่วงน้ำน้อย  (6) กลุ่มที่ต้องการการวางแผนปรับปรุงทางปลาผ่านให้สามารถเชื่อมต่อกับระบบนิเวศแม่น้ำโขงได้ และ (7) กลุ่มที่มีระบบนิเวศย่อยเชื่อมต่อโดยตรงกับระบบนิเวศแม่น้ำโขง คือ กลุ่มที่มีการวางแผนพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อสร้างแหล่งอาหารสำรอง


นายมนตรี กล่าวต่อว่า งานวิจัยจากชุมชนนำร่องจะเริ่มถูกนำไปปฏิบัติใช้ ซึ่งล่าสุดพบว่าหลายพื้นที่เริ่มทดลองนำแผนกำหนดทิศทางการจัดการทรัพยากรไปปฏิบัติ ยกตัวอย่างบ้านป่งขาม ม.1 ต.ป่งขาม อ.หว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร ก่อนหน้านี้ประสบปัญหาจับปลาได้น้อยลงถึง 50% จึงมีการจัดทำแหล่งอนุบาลปลาในหนองค้า ซึ่งเป็นหนองน้ำในชุมชน โดยปล่อยพันธุ์กุ้งไปจำนวน 20,000 ตัว ปลาบึก 1,300 ตัว ปลาเทโพ 700 ตัว ทำให้ชาวบ้านมีแหล่งทำกินอย่างยั่งยืน จากเดิมพึ่งพาการทำประมงในลำน้ำโขงเท่านั้น ซึ่งผลความก้าวหน้าเหล่านี้จะถูกนำไปเสนอต่อภาคนโยบาย อาทิ สำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี และกรมประมง เป็นต้น

Shares:
QR Code :
QR Code