สุขนิยมแบบ GDH องค์กรเสริมสร้างความสุข
ที่มา : เว็บไซต์จิตอาสาพลังแผ่นดิน
ภาพประกอบจากแฟนเพจ GDH
สุขนิยมแบบ GDH คุณจินา โอสถศิลป์ : องค์กรเสริมสร้างความสุข
คุณจีน่า-จินา โอสถศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด (GDH) เป็นมนุษย์สุขนิยม ที่เติบโตมากับองค์กรที่เชื่อว่าความสุขเท่านั้นที่จะสร้างความสุข เธอจึงขับเคลื่อน GDH ด้วยความสุข จนสะท้อนออกมาเป็นคอนเทนต์ที่ให้ความสุข และสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยทั้งประเทศมามากมาย
“เราไม่เชื่อว่าความเครียดและความกดดันจะสร้างสรรค์งาน แต่ความสุข สนุกสนาน และอารมณ์ดีต่างหากที่จะทำให้คนครีเอตหรือสร้างสรรค์อะไรออกมาได้ดี แล้วตัวผู้ก่อตั้ง ‘GDH’ ทุกคนก็เป็นคนประเภทนี้จริง ๆ คือทำอะไรที่เรามีความสุข ทำงานที่มีความสุข กินอย่างมีความสุข เที่ยวอย่างมีความสุข และสุขแบบเป็นคนง่าย ๆ ด้วย”
สุขนิยมแบบ GDH
“เราเติบโตมาจากบริษัทแม่ที่ทำหนังโฆษณา (บริษัท หับโห้หิ้น บางกอก จำกัด) จนวันที่เราอยากทำหนัง ซึ่งเป็นสเกลโปรดักชั่นใหญ่กว่าโฆษณามาก ใช้เวลาและพลังงานเยอะ เราต้องมีความเชื่อและต้องมีความอดทนที่จะทำมันไปให้สุดทางและทำให้ดีที่สุด เพื่อจะไปบอกคนดูได้ว่าเสียตังค์มาดูหนังเราเถอะ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ คนทำงานต้องมีความสุขก่อน ถ้าเราไม่มีความสุข เราก็ไม่สามารถทำให้คนดูมีความสุขได้
“สุขนิยมเลยกลายเป็นตัวตั้ง พอพวกเราสุขนิยมก็แปลว่าเราไม่ชอบความทุกข์ ไม่ชอบความขัดแย้ง ไม่ชอบความตึงเครียด สิ่งเหล่านี้จึงไม่ค่อยเกิดขึ้นในองค์กรนี้ เพราะเรามีความเชื่อว่า พูดกันดี ๆ คุยกันดี ๆ ก็ทำงานที่ดีได้
“นี่คือเหตุผลว่าทำไมคอนเทนต์ของเราจึงไม่ค่อยมีอะไรดาร์ก ๆ คนส่วนใหญ่เรียกเราว่าบริษัทฟีลกู้ด เพราะงานงานหนึ่งจะออกมาจากประสบการณ์และความคิดของคนทำได้ ถ้าคนทำสุขนิยม งานก็จะออกมาฟีลกู้ด บางคนบอกว่างานเราไม่ซับซ้อนเลย ก็เพราะพวกเราเป็นคนไม่ซับซ้อน แต่ไม่ใช่ว่าในอนาคตจะไม่มีนะคะ เราอาจจะมีทีมงานที่อยากทำหนังที่ดาร์กมากขึ้นก็ได้ แต่ก็ยังจะเป็นงานที่สร้างความสุขและสร้างแรงบันดาลใจอยู่ดี”
เติมเต็มคนในองค์กร
เมื่อผู้นำองค์กรเชื่อในปรัชญาสุขนิยม สิ่งสำคัญที่ต้องทำจึงหนีไม่พ้นที่ต้องส่งต่อความรู้สึกนั้นให้พนักงานรู้สึกเช่นเดียวกัน ซึ่งสุขนิยมจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อพนักงานทุกคนมีพร้อมด้วยปัจจัยที่เป็นพื้นฐานสำคัญในชีวิต
“เราจะบอกน้อง ๆ ในออฟฟิศตลอดว่า พวกเราโชคดีที่ได้ทำงานที่มีความสุขและสร้างความสุข แม้จะเป็นงานที่ทำธุรกิจยากมาก แต่เราก็มีความสุข ความสุขที่แท้จริงคือความเรียบง่าย พอเพียง และดีงาม ซึ่งเรียบง่ายและพอเพียงของแต่ละคนไม่เท่ากัน ดีงามแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนเกิดมาต้องการปัจจัย 4 เหมือนกัน เราต้องมีที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม อาหาร และยารักษาโรค วันที่เราสร้างองค์กร เราบอกน้อง ๆ ว่าเราจะดูแลพวกเขาในความเป็นมนุษย์ทั้ง 4 ปัจจัยนี้ และอะไรที่เราทำได้ เราก็จะทำมันให้ดีที่สุด
“นอกจากดูแลเรื่องปัจจัย 4 แล้ว เราก็ต้องทำให้ทุกคนมองภาพบริษัทที่เหมือนกัน เราจึงตั้งวัฒนธรรมองค์กรไว้ง่าย ๆ นั่นคือ ‘ครอบครัวมืออาชีพ’ หมายถึง เราขอความสัมพันธ์แบบเป็นครอบครัวและการทำงานเป็นแบบมืออาชีพ หากมีแค่การทำงานแบบมืออาชีพอย่างเดียว เราว่าเอาไม่อยู่ เพราะความเป็นมืออาชีพต้องเก่งมากและเก่งขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่สำหรับครอบครัว เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าเราไม่เข้าใจกัน เรายังจะมีความรัก ความเมตตา และให้อภัยกันได้
"นอกจากนี้เรายังต้องทำให้คนในองค์กรได้เห็นก่อน ว่าเราจะทำดีต่อกันอย่างไร ถ้าเราไม่ดีกับคนรอบข้าง เราจะไปดีกับคนอื่นได้อย่างไร เราต้องหันมามองเพื่อนร่วมงานก่อน ว่าเราดีกับเขาหรือยัง เกื้อกูลเขาหรือยัง ให้อภัยเขาหรือยัง”
เมื่อมีดูแลครบทุกปัจจัยพื้นฐานแล้ว GDH ยังไม่ลืมที่จะปลูกฝัง “การให้” เพราะการให้เป็นวัฒนธรรมองค์กรที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง เพื่อให้สังคมเล็กๆ ของพวกเขาเป็นจุดเริ่มต้น และเป็นแหล่งผลิตความสุขที่จะส่งต่อไปถึงสังคมที่ใหญ่ขึ้น
“ทุกวันนี้มีปัจจัยรอบข้างที่จะทำให้คนเรากลายเป็นคนเห็นแก่ตัวสูงได้ง่าย ๆ เลย การให้จึงเป็นการฝึกตน จริง ๆ แล้วถ้าฝึกมาก ๆ ก็จะกลายเป็นการเสียสละ การให้คือมีแล้วให้ แต่การเสียสละคือเอาของตัวเองออกไป ถ้าเราสามารถฝึกตนเองได้ถึงขั้นนั้น ไม่ว่าเราจะทำอะไรหรืออยู่ที่ไหน ทั้งเรื่องชีวิตคู่ ครอบครัว หรือการงานก็จะประสบความสำเร็จ เพราะการเสียสละเท่ากับการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าเรารู้จักการเอาใจเขามาใส่ใจเราได้เมื่อไหร่ การเป็นผู้ให้ก็จะเกิดขึ้นทันที”
GDH แฮปปี้พี่ให้น้อง
“GDH แฮปปี้พี่ให้น้อง” คือโครงการที่ GDH ทำร่วมกับจิตอาสาพลังแผ่นดิน โดยจัดขึ้นที่โรงเรียนบ้านคอกช้างพัฒนา จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ถือเป็นกิจกรรมปฐมฤกษ์ของโครงการ “365 วัน ทำดีจิตอาสาพลังแผ่นดิน” จากองค์กรต้นแบบที่เข้าร่วมทั้งหมด 19 องค์กร
“เราอยากจัดกิจกรรมในวันเกิดขององค์กร แล้วเราเปิดบริษัทเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2559 GDH จึงกลายเป็นต้นแบบแรกที่ต้องทำก่อน ตอนคุยกันกับน้อง ๆ ว่าจะทำอะไรกันดี เราก็สรุปกันว่าจะทำเรื่องเกี่ยวกับเด็ก ส่วนตัวเราชอบอะไรเกี่ยวกับเด็กอยู่แล้วด้วย เพราะรู้สึกว่าถ้าเด็กมีโอกาสที่ดี วันหนึ่งเขาก็จะเป็นบุคลากรที่ดีของประเทศได้
“โชคดีว่ามีน้องทีมงานคนหนึ่ง คุณแม่เขาเคยเป็นคุณครูอยู่ที่หัวหินแต่เกษียณออกมาแล้ว ได้แนะนำให้ทีมงานไปรู้จักกับผู้อำนวยการที่โรงเรียนบ้านคอกช้างพัฒนา เมื่อทีมงานได้เข้าไปพูดคุยและสำรวจโรงเรียน จึงตัดสินใจเลือกไปทำกิจกรรมที่โรงเรียนนี้ จากนั้นก็มาช่วยกันคิดว่าจะสร้างความสุขให้เด็ก ๆ ได้อย่างไรบ้าง นอกจากแค่ไปทำถนน ทำห้องน้ำ ทาสีห้องเรียน บังเอิญเราไปรู้มาว่าผู้อำนวยการโรงเรียนนี้เล่นวอลเล่ย์บอลเก่งมาก และก็สอนให้นักเรียนมาหลายรุ่นแล้ว เราจึงจัดให้มีการแข่งวอลเล่ย์บอลกัน เราฝึกซ้อม เขาก็ซ้อม เราสนุก ฝั่งเขายิ่งสนุกใหญ่ เพราะเขาไม่ได้มาแค่นักเรียน แต่มีผู้ปกครองและคนในชุมชนมาร่วมด้วย วันนั้นเลยกลายเป็นวันสร้างสรรค์ความสุขของชุมชน และเราก็เป็นส่วนหนึ่งที่ไปร่วมสร้างให้เกิดขึ้น
“ทีมงานทุกคนแฮปปี้มาก เพราะเราได้ลงมือทำจริ งๆ ไม่ใช่ไปถึงมอบเงิน ถ่ายรูป แล้วจบ แต่เราได้เล่นวอลเล่ย์ ได้ทาสี ได้ทาผนัง ได้ปิ้งลูกชิ้น ค่ำวันนั้นเรายังได้ฉายหนังกลางแปลง ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราถนัด มีหนังเรื่อง แฟนฉัน และ พรจากฟ้า ไปฉาย ทุกคนสนุกสนาน มีความสุข เราเห็นหน้าตาพนักงานยิ้มแย้มแจ่มใส บางคนยืนปิ้งลูกชิ้นสามสี่ร้อยไม้ก็ไม่เหนื่อย เพราะพอมีคนมารับลูกชิ้นแล้วบอกว่าอร่อยมาก หรือป้าที่มาดูหนังก็เดินมาขอบคุณว่าป้าไม่ได้ดูหนังมานานแล้ว
“รอยยิ้มและสิ่งต่าง ๆ ที่ได้รับ เป็นสิ่งที่เราไม่ได้คาดหวัง แถมรู้สึกได้ว่าทุกคนขอบคุณพวกเราจากใจจริง อาจเกิดจากเขาไม่เคยคิดว่าจะมีคนมาสนใจ แต่เราไปทำให้ด้วยน้ำใสใจจริง แค่เพราะเราอยากทำมัน และสิ่งที่พวกเขาทำให้เรา คือเขาไปซ้อมเต้นเพลงประกอบหนังของเรา แล้วเต้นให้ดู เราเองก็ต้องชื่นชมกลับไปนะว่าไม่ใช่แค่เราให้เขา แต่เขาก็ให้เรากลับมาด้วยเช่นกัน
“วันนั้นเราเหนื่อยแต่มีความสุข น้องทุกคนมาบอกว่าปีหน้าเอาอีกนะ วันนั้นเราแบ่งหน้าที่กันทำงานอย่างชัดเจน ทุกอย่างเป็นการอาสา จิตอาสาคือทุกคนต้องอาสา ไม่มีการบังคับ ใครไม่ไปไม่ว่ากัน เขาอาจจะไม่ว่างไป เพราะการทำความดีทำได้ทุกที่ค่ะ”
ร่วมด้วย ช่วยทุกงาน
งานอาสาที่โรงเรียนบ้านคอกช้างพัฒนาเป็นเพียงอีเว้นต์ในวันเกิดองค์กรที่ GDH เพิ่งเริ่มทำจากการเข้าร่วมกับโครงการจิตอาสาพลังแผ่นดิน แต่โดยปกติแล้ว GDH ทำงานจิตอาสาในลักษณะร่วมทำกับหน่วยงานและมูลนิธิต่าง ๆ มากมาย
“งานจิตอาสาของเราจะเป็นในลักษณะที่เราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในโปรเจ็กต์ คือใครมาขอความช่วยเหลืออะไร เราไม่เคยปฏิเสธ เรามีหน้าที่คิดอย่างเดียวว่า เราทำอะไรให้เขาได้บ้าง เท่าที่เวลา โอกาส เงินทอง และกำลังเราจะมี เราอาจจะไม่ได้ลุกขึ้นมาคิดว่าจะต้องทำโปรเจ็กต์ระดับชาติ เพราะบางอย่างเราทำไม่เป็น แต่อะไรก็ตามที่เราช่วยได้ เราทำหมด ขอแค่บอกมา เราสอนน้องๆ เสมอว่าห้ามเซย์โนกับองค์กรที่เขาชวนเราทำดี ทำเลยไม่ต้องคิดเยอะ แล้วไม่ต้องหวังผลด้วยว่าทำแล้วจะได้อะไร เพราะทำแล้วเราได้ใจที่เป็นสุข ก็แค่นั้นเอง
“ออฟฟิศเราเชื่อในความออร์แกนิก ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ อย่างที่บอกว่าเราแทบจะไม่เริ่มต้นอะไรก่อนถ้าไม่มีใครบอกว่าอยากให้เราทำอะไร แต่เมื่อมีคนบอกว่าอยากให้เราทำสิ่งนี้ เราจะรู้สึกอยากทำ เพราะเรารู้สึกว่ามันคือการให้กลับไป อย่าง ‘โครงการก้าวคนละก้าว’ พวกเราดีใจมากที่พี่ตูนนึกถึงพวกเรา ให้เราช่วยทำหนังกึ่งสารคดีติดตามพี่ตูน ตั้งแต่วันที่เริ่มซ้อมจนวิ่งจบที่เชียงราย ตอนนี้ทุกอย่างเสร็จหมดแล้วพร้อมฉาย พี่ตูนต้องการให้ทุกคนได้ดูหนังเรื่องนี้ฟรี แล้วจะนำเงินไปบริจาคสร้างตึกใหม่สำหรับผู้ป่วยยากไร้ที่โรงพยาบาลศิริราช
“เราดีใจที่มีส่วนได้ลงแรง ได้ผลิตงาน และกำลังจะได้แบ่งปันออกไป สำหรับเรานี่ก็เรียกว่าจิตอาสาเหมือนกัน ถ้าเราพอจะเป็นประโยชน์ได้ ทำไมเราจะไม่ทำ เราเจอคนบางคนที่เขาไม่มีเงินทอง ไม่มีความมั่นคงเท่าเรา แต่เขามีใจในการทำงานอาสา ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เรานับถือคนพวกนี้มาก เลยรู้สึกว่าถ้าวันหนึ่งเราทำอะไรได้ เราก็จะทำ ใครบอกอะไรมา ถ้าช่วยได้ เราจะทำทันที แล้วก็ไม่ลืมที่จะชวนกัลยาณมิตรและน้องๆ มาร่วมทำด้วย โชคดีว่าเรามีน้องๆ ที่น่ารัก ทุกคนพร้อมจะร่วมแรงร่วมใจ ร่วมเงินร่วมทอง จึงเกิดเป็นวัฒนธรรมองค์กรของพวกเราขึ้นมา”
“ให้” ไม่ถูก มันก็ผิด
แม้คุณจินาจะชอบช่วยเหลือและมีความสุขกับการได้ช่วยเหลือผู้อื่น แต่เธอก็บอกทุกคนเสมอว่าก่อนจะให้คนอื่น ตัวเองก็ต้องพร้อมก่อน คือพร้อมด้วยใจ พร้อมด้วยสติ พร้อมด้วยปัญญา และก็ต้องเริ่มให้คนในครอบครัว ก่อนที่จะไปทำให้คนภายนอก นั่นถึงจะเป็นการให้ที่เหมาะสม
“เราต้องเป็นผู้ให้กับคนในครอบครัวก่อน เพราะครอบครัวแรกก็คือครอบครัวของเรา ครอบครัวที่สองคือสังคมในที่ทำงาน ครอบครัวที่สามคือสังคมเพื่อนฝูง สังคมที่ใหญ่ออกไป และครอบครัวที่สี่ก็คือสังคมประเทศ เราต้องทำตั้งแต่หนึ่งไปถึงสี่ ถ้าเราไม่ดีกับคนในครอบครัว อย่าหวังเลยว่าเราจะดีกับคนอื่น เราต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ กตัญญูอย่างเดียวก็ไม่พอ ต้องมีกตเวทิตา คือต้องตอบแทนคุณด้วย ถ้ามีสองอย่างนี้ เราก็จะนำไปใช้กับสังคมขั้นอื่นๆ ต่อไปได้ ทั้งหมดนี้เริ่มจากจุดง่าย ๆ นิดเดียว
“แล้วอย่าคิดว่าการให้คือการเสียเปรียบ เพราะเราไม่ได้คิดว่าเราจะได้อะไรกลับมา แต่เชื่อเถอะว่าการให้ที่ยิ่งใหญ่โดยที่ไม่หวังอะไร จะมีสิ่งดี ๆ กลับมาโดยไม่คาดคิดเสมอ ประสบการณ์ทำงาน 20 กว่าปีเป็นแบบนั้นจริง ๆ เราต้องยิ่งเชื่อและยิ่งต้องถ่ายทอดสิ่งนี้ต่อไปให้น้อง ๆ ของเรา วัฒนธรรมการให้นั้นส่งต่อกันได้ สอนกันรุ่นต่อรุ่นได้ แต่คนเป็นผู้นำต้องทำก่อน และต้องทำต่อไป เราเชื่อว่ามันหมุนเป็นวงจร วันหนึ่งเมื่อเขาทำได้ เขาก็จะทำสิ่งที่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ”
จิตอาสาคือการแบ่งปัน
ในมุมมองของคุณจินา ความดีไม่ใช่การทำบุญ แต่คือการตั้งใจทำบางสิ่งบางอย่าง และการให้ก็ไม่ใช่แค่การให้กับคนอื่น แต่เป็นการให้กับตัวเองได้มีโอกาสในการทำเพื่อผู้อื่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เธอเรียกกว้าง ๆ ว่า คือ “การแบ่งปัน” ที่ไม่ว่าใคร อยู่ที่ไหน ก็ทำได้
“จิตอาสาที่แท้ที่สุดคือการแบ่งปัน การลงมือลงแรงมันก็ใช่ แต่สิ่งสำคัญคือหัวใจที่คิดจะแบ่งปัน การเป็นผู้ให้ การทำความดี ล้วนเกิดขึ้นได้จากคำว่าแบ่งปัน แค่คุณยิ้ม คุณหัวเราะดัง ๆ คุณก็แบ่งปันความสุขแล้วนะ ถ้ามีเงิน คุณก็แบ่งมา ถ้ามีของแล้วไม่ได้ใช้ คุณก็แบ่งออกมา แบ่งแล้วก็ไปปันให้คนอื่น แค่นี้เอง
“ปัญหาของสังคมเราคือใครทำก็ทำ คนที่ไม่ทำก็ยังไม่เริ่ม ซึ่งบางทีเพราะว่าเขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำ แต่เชื่อเถอะว่าไม่ต้องไปคิดอะไรเยอะ เราแค่เริ่มจากตัวเรา ครอบครัวเรา บริษัทเรา เพื่อนฝูงกัลยาณมิตรของเรา แล้วสิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อสังคมที่ใหญ่ขึ้นไปเอง
“ความตั้งใจและความจริงใจเป็นเรื่องสำคัญ เราไม่ต้องบ่นว่าใคร ไม่ต้องคาดหวังใคร ถ้าทุกคนคิดแบบนี้ ความดีมันจะใหญ่ขึ้น เราไม่ชอบอยู่ใกล้คนที่เอาแต่บ่นๆๆ เพราะการพูดอย่างเดียวแต่ไม่ลงมือทำนี่มันง่ายที่สุดในโลกอยู่แล้ว ใครไม่ดีก็อย่าไปคิดอะไรมาก ใครที่ดีต้องก็นับถือ ต้องชื่นชม ต้องยกย่อง ต้องเอาเป็นแบบอย่าง
“หลายครั้งเราจะได้ยินคำว่า ทำไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก แก้ไขอะไรไม่ได้ คิดแบบนี้มันก็ไม่ได้แก้อะไร สมมติมีเชือกเส้นหนึ่ง มีปมอยู่เป็นร้อยปม เราแกะทั้งร้อยปมออกจากกันทีเดียวไม่ได้ แต่ถ้าเราแกะออกหนึ่งปม มันก็เหลือ 99 ปมแล้วไง หลักการแค่ง่าย ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน”
ความสุขที่แท้จากงานจิตอาสา
คนที่ทำความสุขหล่นหาย หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ นอกจากจะแนะนำให้ไปหาภาพยนตร์ของ GDH มาดูแล้ว คุณจินายังแนะนำอย่างยิ่งให้ลองมาทำงานจิตอาสา ที่เธอบอกว่าจะทำให้คุณได้พบความสุขที่แท้จริง
“อยากมีความสุขที่แท้จริงลองมาทำงานจิตอาสา เราบอกทุกคนว่าเชื่อเถอะว่าถ้าอยากจะรู้สึกดี ลงมือทำอะไรบางอย่าง แต่เขาจะทำหรือไม่ก็อยู่ที่ตัวเขา เรามีหน้าที่อย่างเดียวคือบอกต่อ บอกไปเรื่อยๆ แต่ว่าสิ่งนี้จะเกิดได้ บางทีก็ต้องให้เขาได้เห็นก่อนว่ามันคืออะไร บางคนอยากทำแต่ทำไม่เป็น ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง เพราะฉะนั้นสิ่งที่จิตอาสาพลังแผ่นดินทำอยู่นี้ดีมากเลย คือทำคลิปแล้วนำไปเผยแพร่ เพราะบางทีคนอยากทำแต่ไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้นอย่างไร และที่จริงคือเริ่มจากเล็ก ๆ ก่อนก็ได้ สิ่งสำคัญคือเราแค่ต้องช่วยกัน เพราะเราต้องสร้างสังคมที่เราอยากได้ด้วยตัวเราเอง”
หากวันนี้คุณพร้อมด้วยปัจจัย 4 และสามารถดูแลครอบครัวได้เป็นอย่างดีแล้ว ความสุขต่อไปที่คุณจะหาได้ อาจจะอยู่ในงานจิตอาสางานใดงานหนึ่ง และนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของสังคมที่คุณฝันถึงมาตลอดก็เป็นได้