สืบสาน “มโหรีภูมิปัญญา” รักษากาย-ใจ
เสียงดนตรีสร้างสุข
การเปลี่ยนแปลงของสังคมที่เลื่อนไหลไปตามกระแสการพัฒนาแบบทุนนิยมได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อต้นทุนทางสังคมและวัฒนธรรมของไทย โดยเฉพาะภูมิปัญญาพื้นบ้านแขนงต่างๆ ได้ถูกละเลยทอดทิ้งให้เป็นเรื่องของผู้เฒ่าผู้แก่ที่นับวันจะถูกลืม
โดยเฉพาะเรื่องของ “ดนตรีพื้นบ้าน” ซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่น แตกต่างและสอดคล้องไปกับวิถีชีวิตของคนแต่ละชุมชน ที่นับวันจะยิ่งถูกกระแสของแนวดนตรีสมัยใหม่เข้ามาแทนที่ จนต้นทุนทางวัฒนธรรมที่ดีงามเหล่านี้กำลังจะสูญหายไป
บ้านปะคำสำโรง ตำบลตูมใหญ่ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นอีกหมู่บ้านหนึ่งที่ยังมีต้นทุนและภูมิปัญญาทางด้านวัฒนธรรมพื้นบ้านเฉพาะถิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ชุมชนชาวไทยเขมร นั่นก็คือ “มโหรีเขมร” ซึ่งเป็นวงดนตรีพื้นบ้านอันมีท่วงทำนองและเสียงร้อง ที่แม้จะแปลกแปร่งสำหรับคนทั่วไป แต่ก็มีความไพเราะเสนาะหู แสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของชุมชนแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
แต่ในปัจจุบันดนตรีพื้นบ้านมโหรีเขมรกำลังถูกอิทธิพลของเพลงสมัยใหม่เข้ามาแทนที่ หลายบทเพลงได้เลือนหายไปตามครูเพลงพื้นบ้านที่ล้มหายตายจาก เพราะในอดีตดนตรีพื้นบ้านเหล่านี้ถ่ายทอดผ่านการฝึกฝนและจดจำ ไม่มีการแกะเป็นโน้ตเพลงบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
“โครงการนวัตกรรมมโหรีภูมิปัญญาสร้างสุขตำบลตูมใหญ่” จึงถือกำเนิดขึ้นมาจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในชุมชน ทั้งองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น วัด โรงเรียน สถานีอนามัย และสำนักศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ร่วมบูรณาการสร้างคุณค่าของภูมิปัญญามโหรีพื้นบ้านเชื่อมโยงกับมิติสุขภาวะทั้ง 4 ด้านที่ประกอบไปด้วย กาย จิต สังคม และปัญญา โดยนำ “มโหรีเขมร” มาแสดงเพื่อให้กำลังใจกับผู้ป่วยเรื้อรังที่มารอรับการรักษา ณ สถานีอนามัยทั้ง 2 แห่งในพื้นที่ สร้างสุนทรียภาพในจิตใจของผู้เล่นและผู้ฟังด้วยเสียงดนตรี โดยมี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ให้การสนับสนุน
นายบุญมี ดีรื่นรัมย์ ผู้ประสานงานโครงการ เล่าว่า ในตำบลตูมใหญ่นั้นมีภูมิปัญญาดนตรีพื้นบ้านมโหรีเขมรเป็นทุนทางวัฒนธรรมที่เหลืออยู่ แต่กลับไม่ได้รับความสนใจส่งเสริมและถ่ายทอด ประกอบกับเห็นว่าที่สถานีอนามัยทั้งสองแห่งของชุมชนมีผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรังมารอรับการรักษาจากแพทย์จำนวนมากในแต่ละเดือน หลายคนมีความเครียดจากการรอเป็นเวลานาน จึงเกิดแนวคิดที่จะบูรณาการดนตรีพื้นบ้านกับเรื่องของสุขภาพให้สามารถขับเคลื่อนไปด้วยกันได้
“ผู้ป่วยจำนวนมากที่มารับการรักษาส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้สูงวัย บางคนมาเข้าคิวรอตั้งแต่เช้ามืด ระหว่างที่รอเป็นเวลานานๆ คุยกันไปมา ทำไมหมอไม่มาสักที ก็อาจจะเกิดความเครียดขึ้นได้ แต่ถ้าได้ฟังเสียงดนตรีพื้นบ้านก็อาจจะช่วยให้เกิดความผ่อนคลายความเครียด เกิดความบันเทิงในจิตใจ ลดความเบื่อหน่ายในระหว่างรอรับการตรวจจากแพทย์ ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นการช่วยอนุรักษ์และสืบสานวงมโหรีเขมรได้อีกทางหนึ่งจากลูกหลานที่พาผู้ป่วยมารับการตรวจรักษาเริ่มให้ความสนใจ” นายบุญมีกล่าว
นายเฉลา เคล้าพิมาย ผู้ใหญ่บ้านบ้านประคำสำโรง และประธานกลุ่มอนุรักษ์ดนตรีพื้นบ้าน กล่าวว่า ในกลุ่มมีนักดนตรีพื้นบ้านทั้งหมด 15 คน มีอายุเฉลี่ยตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป โดยจะมาเล่นดนตรีพื้นบ้านให้ผู้ป่วยฟังระหว่างรอรับการตรวจรักษาจากแพทย์ที่ สถานีอนามัยบ้านกรูด ทุกวันอังคารที่ 2 ของเดือน และที่ สถานีอนามัยบ้านโนนเจริญ ทุกวันพฤหัสฯ ที่ 2 ของเดือน โดยทุกครั้งที่มาก็จะมีคนเฒ่าคนแก่ส่วนหนึ่งเข้ามาร่วมสนุกกับวงดนตรีด้วยการร้องรำทำเพลงคลายเครียด
“นอกจากจะช่วยคลายเครียดให้กับผู้ป่วยที่มารอรับการรักษาแล้ว ยังเป็นเวทีกระตุ้นเตือนให้คนในชุมชนเห็นความสำคัญของดนตรีพื้นบ้าน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่ส่วนหนึ่งจะมากับผู้ป่วย ก็จะได้รู้จัก ได้ยิน ได้ฟังดนตรีพื้นบ้านมโหรีเขมร ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะดึงคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาสืบสานภูมิปัญญาพื้นบ้านเหล่านี้เอาไว้ไม่ให้สูญหายไป” ประธานกลุ่มอนุรักษ์ระบุ
นายบุญมี คำสุวรรณ อายุ 64 ปี ผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันที่มารอรับการตรวจรักษาที่สถานีอนามัยบ้านกรูด เล่าถึงการฟังดนตรีมโหรีเขมรระหว่างรอพบแพทย์ว่า “เพลงที่เล่นจะเป็นเพลงพื้นบ้านที่สื่อความหมายถึงความสนุกสนาน ฟังแล้วบางครั้งก็อยากจะออกไปฟ้อนไปรำ ฟังแล้วก็มีความสุข คนที่มาส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าดี ดีกว่านั่งรอเฉยๆ รู้สึกเพลินดีที่มีเพลงให้ฟังระหว่างรอ”
เช่นเดียวกันกับ นางไสว โครงกลาง ชาวบ้านหนองบัวพัฒนา อายุ 63 ปี ที่มารอตรวจวัดความดันและตรวจเลือด บอกว่า “ดีใจที่มีคนมาเล่นดนตรีให้ฟัง ทำให้ไม่เงียบเหงาระหว่างรอ ช่วยคลายเครียดได้ เพราะต้องรอหมอนาน ซึ่งบางคนอยู่ไกลต้องออกจากบ้านเพื่อมารอรับคิวตรวจตั้งแต่ตี 3”
นางกาญจ์ณภัทร ผาดไธสง เจ้าพนักงานสาธารณสุข สถานีอนามัยบ้านกรูด กล่าวถึงการเล่นดนตรีพื้นบ้านให้ผู้ป่วยที่มารอรับการตรวจฟังว่า เป็นการช่วยย่นระยะเวลาว่างระหว่างรอแพทย์และผ่อนคลายความตึงเครียดของผู้ป่วย แต่ในแง่ของการบำบัดโรคอาจจะต้องมีการศึกษาให้ลึกมากกว่านี้
“พอมีโครงการนี้ก็ทำให้ได้ยินเสียงบ่นจากการรอนานของชาวบ้านน้อยลง จากผลการสำรวจพบว่า มีชาวบ้านพอใจในระดับมากถึงร้อยละ 64.5 ซึ่งนอกจากประโยชน์ในการช่วยลดความเครียดของผู้ป่วยแล้ว ยังเป็นการสร้างโอกาสให้ผู้ฟังได้รู้ว่ามีดนตรีพื้นบ้านอย่างนี้ในชุมชนของเขา และยังช่วยขยายโอกาสขยายเครือข่ายไปยังกลุ่มคนรุ่นอื่นๆ ที่สนใจ” นางกาญจ์ณภัทรระบุ
ปัจจุบันกลุ่มอนุรักษ์ดนตรีพื้นบ้านได้รับการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนตำบลท่าตูม โดยมีการนำดนตรีมโหรีเขมรออกไปแสดงตามงานต่างๆ เพื่อสืบทอดวัฒนธรรม แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้วงมโหรีเขมรไม่สูญหายไปตามกาลเวลาก็คือ การพัฒนาให้เป็นหลักสูตรท้องถิ่นของโรงเรียนในชุมชน
“นอกจากการใช้ดนตรีสร้างสุขภาวะให้กับผู้ป่วยแล้ว เป้าหมายต่อไปก็คือการนำดนตรีมโหรีเขมรนี้เข้าไปเป็นหลักสูตรท้องถิ่นของโรงเรียน ซึ่งการจะเป็นหลักสูตรท้องถิ่นได้นั้นจะต้องมีการเขียนหลักสูตร โดยการถอดโน้ตดนตรีให้ออกเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ เพราะตัวศิลปินพื้นบ้านเป็นผู้สูงอายุไม่มีความรู้ตรงนี้ แต่ใช้การจำต่อๆ กันมา ซึ่งแนวทางนี้จะช่วยอนุรักษ์ภูมิปัญญาด้านวัฒนธรรมของชุมชนไม่ให้สูญสลายไป” นายบุญมีกล่าวสรุป
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
update: 28-06-53
อัพเดตเนื้อหาโดย: คมสัน ไชยองค์การ