สำรวจภูมิต้านทานไข้เลือดออกเด็กไทย
ที่มา : เว็บไซต์คมชัดลึก
แฟ้มภาพ
คร.สำรวจภูมิต้านทานไข้เลือดออกเด็กไทย ก่อนชงคกก.พิจารณาควรให้วัคซีนหรือไม่ หวั่นฉีดซ้ำส่งผลเกิดโรครุนแรง
นพ.สมบัติ แทนประเสริฐสุข ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเวชกรรมป้องกัน กรมควบคุมโรค(คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึง กรณีมีการผลิตวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกที่สามารถป้องกันไวรัสเดงกี่ได้ทั้งสายพันธุ์ที่1-4 โดยประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันได้ประมาณร้อยละ 60 แนะนำให้ฉีดในเด็กอายุ 9 ปี และมีบางประเทศมีการขึ้นทะเบียนวัคซีนและมีการฉีดให้ประชาชนแล้ว ขณะที่ประเทศไทยอยู่ระหว่างการขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) นั้นว่าองค์การอนามัยโลก แนะนำว่าก่อนที่จะพิจารณาฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกให้เด็กควรดำเนินการสำรวจก่อนว่าเด็กเคยติดเชื้อไวรัสเดงกี่ที่ทำให้เกิดโรคไข้เลือดออกมาแล้วหรือไม่
"ขณะนี้กรมควบคุมโรคจึงอยู่ระหว่างการจัดทำแบบเสนอโครงการเพื่อสำรวจภูมิต้านทานไข้เลือดออกในเด็กไทยอายุ 9-10 ปี โดยจะสำรวจแบบสุ่มเลือกจังหวัดและกำหนดจำนวนประชากรที่จะสำรวจ เนื่องจากจะสำรวจเด็กทั้งหมดไม่สามารถทำได้ จำเป็นต้องสำรวจแบบสุ่มตัวอย่างแต่จะต้องกระจายการสำรวจให้ได้มากที่สุดเพื่อให้ผลสามารถสะท้อนถึงกลุ่มประชากรเด็กไทยอายุ 9-10 ปี" นพ.สมบัติ กล่าว
นพ.สมบัติ กล่าวอีกว่า ในการสำรวจจะขออนุญาตเจาะเลือดเด็กที่เป็นกลุ่มตัวอย่างเพื่อส่งตรวจว่าเคยติดเชื้อไวรัสเดงกี่มาแล้วกี่ครั้ง ร่างกายมีภูมิต้านทานต่อไวรัสชนิดนี้สายพันธุ์ใดบ้าง มีภูมิต้านทานครบทั้ง 4 สายพันธุ์แล้วหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน โดยจะใช้เวลาตรวจจากเลือดประมาณ 1 สัปดาห์ก็จะสามารถรู้ผล คาดว่าน่าจะเริ่มดำเนินการสำรวจและแล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2560 เมื่อได้ผลแล้วจะนำเสนอต่ออนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ก่อนนำเสนอคณะกรรมการยา เพื่อพิจารณาการให้วัคซีนแก่คนไทยต่อไป
“ไวรัสเดงกี่ที่ทำให้เกิดโรคไข้เลือดออกมี 4 สายพันธุ์ การที่ต้องสำรวจก่อนว่าเด็กไทยเคยติดเชื้อไวรัสเดงกี่มาก่อนหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน เพราะเด็กที่เคยติดเชื้อไวรัสเดงกี่สายพันธุ์ไหนมาแล้ว ร่างกายก็จะมีภูมิต้านทานต่อไวรัสชนิดนั้นจะไม่ป่วยไข้เลือดออกจากไวรัสสายพันธุ์นั้นอีก หากนำวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกไปฉีดให้เด็กที่มีภูมิต้านทานอยู่แล้ว จะกระตุ้นภูมิต้านทานในร่างกายจนก่อเกิดเป็นโรคไข้เลือดออกที่มีอาการรุนแรง เพราะการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ครั้งที่ 2 โอกาสที่จะทำให้เกิดโรคและมีอาการรุนแรงจะส่งผลเสียต่อเด็ก” นพ.สมบัติ กล่าว