สานพลังเปลี่ยนประเทศจากฐานรากสู่ความยั่งยืน เมื่อความร่วมมือร่วมใจทุกภาคส่วน คือจุดเปลี่ยนสังคม
หลายครั้งที่จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในสังคมไทย ถือกำเนิดขึ้นจาก “ความร่วมมือ” โดยเฉพาะ “พลังภาคประชาชน” และ “พลังภาคเอกชน” ที่หลอมรวมกับความร่วมมือจากภาครัฐ ก่อเกิดเป็นมิติใหม่ของการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน
การมี “ภาคี” จากแต่ละภาคส่วนจึงเปรียบเสมือนการเติมเต็มช่องว่างและข้อจำกัดของกันและกัน เมื่อภาคประชาสังคมและประชาชนมีความแข็งแกร่งด้านกำลังคนและเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อน แต่ยังขาด “ทุน” สนับสนุนอันเป็นเสมือนน้ำมันหล่อลื่นสู่เป้าหมายความสำเร็จ ด้วยข้อจำกัดของกลไกภาครัฐที่หลากหลาย บทบาทของ “ภาคเอกชน” จึงสามารถเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ได้ด้วยการสนับสนุนการ “ลงทุน” ในโครงการต่าง ๆ รวมถึงยังสามารถนำประสบการณ์อันเชี่ยวชาญของภาคเอกชนแต่ละภาคส่วนมาถ่ายทอดองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญต่าง ๆ ที่มีสู่ชุมชน ก็จะช่วยเร่งรัดให้การพัฒนาเกิดขึ้นได้ในวันนี้ โดยที่ไม่ต้อง “รอ” อีกต่อไป
ในพิธีมอบเกียรติบัตรร่วมสนับสนุนโครงการตามมาตรการส่งเสริมลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม และการหารือแนวทางการขยายผลสู่ความยั่งยืน ได้มีการนำเสนอวิสัยทัศน์และแนวทางที่สำคัญจากสองผู้นำทางความคิด ได้แก่ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน และ นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งฉายภาพถึงความสำเร็จและก้าวต่อไปของความร่วมมือที่กำลังจะเกิดขึ้น ที่นำไปสู่ส่วนหนึ่งในการพัฒนาได้แบบก้าวกระโดด
ปลุกพลังภาคเอกชนสู่การเปลี่ยนแปลงสังคม
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ได้กล่าวขอบคุณทุกบริษัทที่เข้าร่วมโครงการ และเน้นย้ำถึงหัวใจสำคัญของงานนี้ คือการรวมพลังกันเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคม ท่านชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงประเทศจากฐานรากสู่ความยั่งยืนนั้นไม่ใช่ภาระของภาครัฐเพียงลำพัง หากแต่ภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการลุกขึ้นมาทำงานเพื่อสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทที่การพัฒนาประเทศในช่วงที่ผ่านมาได้นำไปสู่ปัญหาความเหลื่อมล้ำและปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่ชุมชนยิ่งอ่อนแอและมีหนี้สิน
“ปัญหาหลักคือวิธีการพัฒนาประเทศที่สร้างความเหลื่อมล้ำ ทำให้สังคมอยู่ร่วมกันยาก และชุมชนต่างจังหวัดอ่อนแอ แม้ภาครัฐจะมีเงินและดำเนินการต่างๆ แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง เนื่องจากราชการอาจไม่ได้เข้าใจธุรกิจและความต้องการของชุมชนอย่างถ่องแท้ คำตอบที่แท้จริงจึงอยู่ที่ภาคเอกชน ซึ่งเป็นผู้ที่เข้าใจธุรกิจ และสามารถช่วยให้ชุมชนก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลกทุนนิยมได้อย่างรวดเร็ว”
ดร.กอบศักดิ์ ย้ำว่าภาคเอกชนคือผู้ที่ต้องเข้าไปทำงานร่วมกับทุกคนเพื่อช่วยยกระดับชุมชนให้เข้มแข็ง และเสนอแนวทางการขับเคลื่อนงานในปีนี้ว่า จะมีการจัดงานสัมมนาสำคัญ โดยตั้งเป้าหมายที่จะชวนบริษัทหลายร้อยแห่งมาร่วมรับฟังความก้าวหน้าของโครงการที่เคยทำมา และที่แตกต่างจากเดิมคือ การนำเสนอโครงการในรูปแบบ “แทร็ค” ซึ่งจะแบ่งออกเป็นหลายประเด็น อาทิ แทร็คศูนย์เด็กเล็ก แทร็คป่าชุมชนที่เกี่ยวข้องกับปัญหา PM 2.5 และสิ่งแวดล้อม รวมถึงเรื่องเศรษฐกิจชุมชนและการทำตลาดสินค้าชุมชน ที่จะช่วยให้สินค้าของชุมชนเข้าสู่ตลาดได้ นอกจากนี้ ยังมีแทร็คเรื่องสุขภาพที่จะขยายผลได้ทั่วประเทศไทย โดยเน้นย้ำถึงการทำงานร่วมกันเป็น “collective effort” หรือ “collective impact” เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและรวดเร็ว
สำหรับบริษัทที่ต้องการสร้างความแตกต่างและลองสิ่งใหม่ๆ ดร.กอบศักดิ์ เสนอให้ร่วมกันสร้างแทร็คใหม่ๆ สำหรับปีถัดไป และทิ้งท้ายด้วยการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการ “สานพลัง” ทั้งจากภาคเอกชน และที่สำคัญคือการสานพลังกับภาครัฐ โดยเฉพาะหน่วยงานอย่าง สสส. และ BOI เพื่อขับเคลื่อนโครงการร่วมกันอย่างมีทิศทาง ไม่กระจัดกระจาย ยกตัวอย่างความร่วมมือกับ สสส. ในหลายโครงการ อาทิ โครงการป่าชุมชน 15 บาท ซึ่งยังได้รับการสนับสนุนจาก สสส.เพิ่มงบประมาณให้เป็น 60 บาท ในปีที่แล้ว โครงการศูนย์เด็กเล็ก ที่ สสส. ช่วยในเรื่องการให้องค์ความรู้ด้านโภชนาการ การจัดการความรู้แก่บุคลากรในศูนย์เด็กเล็ก โครงการเหล่านี้ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม
การลงทุนเพื่อความยั่งยืนและพลังภาคประชาชน
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ได้เสริมมุมมองจากฝั่งภาคสนับสนุนกลไก โดยเริ่มต้นด้วยกาสะท้อนให้เห็นว่าระบบโครงสร้างของประเทศยังเป็นระบบเดิม การบริหารจัดการภาครัฐยังคงรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่ส่วนกลาง ทำให้ภาคท้องถิ่นอ่อนแอ
“หลายคนตั้งคำถามว่า ทำไมประเทศนี้จึงหมดหวัง” นพ.พงศ์เทพกล่าว “เพราะระบบโครงสร้างประเทศของเราเป็นระบบตึก หนึ่ง ประชาชนมีการพึ่งภาครัฐเป็นหลัก สอง ภาครัฐส่วนกลางเข้ามามีบทบาทการตัดสินใจ ควบคุมทุกอย่างในทุกพื้นที่ทั้งหมดทั่วไทย มีผลให้ระดับท้องถิ่นยังคงอ่อนแอ”
อย่างไรก็ตาม ท่านเปรียบเทียบว่าแม้โครงสร้างจะอ่อนแอ แต่ก็เหมือนตึกที่ยังไม่พัง เพราะมีฐานรากสำคัญคือ “พลังภาคประชาชน” เปรียบเสมือนเสาเข็มที่เราไปเติมได้อีกเยอะ หากชุมชนมีความเข้มแข็ง ซึ่งในความเป็นจริงชุมชนมีความเข็มแข็งเป็นทุนและสามารถรวมกลุ่มทำงานได้อยู่แล้ว แต่กลับอ่อนแอลงเพราะภาครัฐไม่สามารถสนับสนุนด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะเงินทุนให้ได้ นอกจากนี้ ภาคท้องถิ่นก็เป็นอีกเสาเข็มหรือฐานรากสำคัญ อีกส่วนคือ ภาคประชาสังคม อย่างเช่น มูลนิธินวัตกรรมทางสังคมทำหน้าที่เป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการเชื่อมต่อภาคส่วนต่าง ๆ และเสริมการบริหารจัดการที่แตกต่างจากภาครัฐได้
นพ.พงศ์เทพ ยังได้กล่าวถึงบทบาทของภาคเอกชนที่ยังใช้พลังเล็กน้อยในการสร้างสังคมที่เข้มแข็ง
พร้อมกันนี้ ยังเอ่ยถึงแนวคิดที่ว่า “ยักษ์ถูกพันธนาการ” ซึ่งมาจากหนังสือ The Narrow Corridor: States, Societies, and the Fate of Liberty โดย ดารอน อาเซโมกลู และเจมส์ เอ. โรบินสัน ที่ชี้ว่าการที่ภาครัฐที่มีอำนาจเผด็จการมากเกินไปนั้นเป็นเรื่องอันตราย เพราะจะทำให้พลังทางสังคมอ่อนแอลง ดังนั้น พลังทางสังคมจะต้องเข้มแข็งเพื่อมาถ่วงดุลกับภาครัฐ และควบคุมอำนาจรัฐให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ผู้จัดการ สสส.เน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำให้สังคมเข้มแข็ง ซึ่งจะต้องเกิดจากการร่วมมือกัน โดย สสส. มีบทบาทสำคัญในการทำงานร่วมกับภาคประชาสังคม และสามารถใช้เงินงบประมาณข้ามปีได้ ซึ่งแตกต่างจากภาครัฐที่มักมีข้อจำกัดด้านเวลาในการใช้งบประมาณ
โดยยังได้เสนอแนวทางการลงทุนเพื่อการพัฒนาชุมชนว่าควรเป็นการลงทุนทั้ง 3 รูปแบบ ได้แก่
- ปลูกข้าว (การลงทุนที่เห็นผลทันที): คือการลงทุนกับการซื้อของ หรืออุปกรณ์ที่ให้ผลผลิตทันที เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์
- ปลูกมะม่วง (การลงทุนระยะกลาง): คือการลงทุนเพื่อทำให้ชุมชนเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้ เช่น วิสาหกิจชุมชน ซึ่งจะเห็นผลภายใน 5-6 ปี
- ปลูกต้นสน (การลงทุนระยะยาว): คือการลงทุนกับ “I CAP” หรือการพัฒนาเด็ก ซึ่งจะเห็นผลในระยะยาว 20 ปี เพราะเด็กในวันนี้จะเป็นพลังในวันหน้า
สำหรับคำถามที่ว่าภาคเอกชนจะได้อะไรจากการลงทุนเหล่านี้ นพ.พงศ์เทพ ไม่ได้เน้นไปที่ผลตอบแทนทางการเงิน แต่ชี้ให้เห็นว่าปัญหาของประเทศเกิดขึ้นจากการที่คนและชุมชนอ่อนแอ ดังนั้น การที่ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ จะนำไปสู่ “ความยั่งยืน” ใน “ระยะยาว”
“มีคำกล่าวว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวในจักรวาลที่มีความสุขเมื่อเห็นผู้อื่นมีความสุข และประเทศไทยเป็นสังคมแห่งการเอื้ออาทร การที่ภาคเอกชนเข้ามาทำโครงการกับ BOI จะได้รับความสุขทวีคูณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นผลลัพธ์ของการลงทุนที่ช่วยให้คนไทยมีความสุข โดยความสุขที่ยั่งยืนไม่ได้มาจากงบประมาณ แต่มาจากประโยชน์ที่คนไทยทุกคนได้รับ และขอชื่นชมทุกท่านที่ได้ลงทุนและจะลงทุนต่อไปเพื่อประโยชน์ของคนไทย”
โดยสรุปแล้ว ทั้ง ดร.กอบศักดิ์ และ นพ.พงศ์เทพ ต่างเน้นย้ำถึงความสำคัญของการ “สานพลัง” ระหว่างทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาสังคมและพัฒนาประเทศจากฐานรากสู่ความยั่งยืน ด้วยความเข้าใจในบทบาทที่แตกต่างกันของแต่ละภาคส่วน และการทำงานร่วมกันอย่างมีทิศทาง เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนและสังคมไทยอย่างแท้จริง