“สาธารณะ รัฐ เซ็กส์” เปิดเวทีถกเรื่องการควบคุมเพศวิถีของประชาชน
สมาคมเพศวิถีศึกษาจัดเวทีประชุมวิชาการเพศวิถีศึกษาระดับชาติ ครั้งที่ 4 ในงานมีการเสวนาโต๊ะกลมหัวข้อ “สาธารณะ รัฐ เซ็กส์” ถกเรื่องการควบคุมเพศวิถีของประชาชน
เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2556 สมาคมเพศวิถีศึกษา จัดเวทีประชุมวิชาการเพศวิถีศึกษาระดับชาติ ครั้งที่ 4 ร่วมกับ 15 องค์กรขับเคลื่อนเรื่องเพศวิถีในสังคมไทย ที่โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพฯ โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุม 150 คน ในงานมีการเสวนาโต๊ะกลมหัวข้อ “สาธารณะ รัฐ เซ็กส์” ถกเรื่องการควบคุมเพศวิถีของประชาชน
นางสาวชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า “ความเชื่อมโยงระหว่างเรื่องเพศ สาธารณะและรัฐมีหลายมุมมอง คนส่วนมากมองว่าเซ็กส์เป็นเรื่องส่วนตัวที่คนมีเสรีภาพเต็มที่ ซึ่งสอดคล้องกับฐานความเชื่อแบบเสรีนิยมที่ให้คนเลือกใช้ชีวิตตามความพอใจ แต่ในศตวรรษที่ 20 แนวคิดสตรีนิยมกล่าวถึงเรื่องนี้ใหม่ว่า “เรื่องส่วนตัวแท้จริงแล้วคือเรื่องการเมือง” ซึ่งเปิดโปงให้เห็นว่า ในพื้นที่ส่วนตัวมีเรื่องอำนาจและการกดขี่แฝงอยู่ ผลจากการเปิดโปงทำให้หลายกลุ่มหันไปพึ่งพารัฐให้เข้ามาคุ้มครองเรื่องส่วนตัวของพลเมือง เกิดเป็นมาตรการควบคุมกำกับเรื่องเพศเข้มข้นยิ่งขึ้น และเรื่องเพศถูกทำให้เป็นเรื่องสาธารณะจนในที่สุดความเป็นส่วนตัวหายไปโดยเฉพาะในกรณีของบุคคลสาธารณะ คำถามที่เกิดขึ้นคือ ความเป็นส่วนตัวควรมีอยู่หรือเปล่า? เราพร้อมจะให้ทุกคนรับรู้เรื่องส่วนตัวของเราทุกเรื่องได้หรือไม่? แล้วจะใช้อะไรกำหนดระหว่างความเป็นส่วนตัว (privacy) กับความเป็นสาธารณะ (public) และรัฐ (states) ควรเข้ามามีบทบาทแค่ไหน”
นางสาวสุภัทรา นาคะผิว นักสิทธิมนุษยชน จากมูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ กล่าวว่า “ความเกี่ยวข้องของเรื่องเพศกับรัฐ ถูกกำหนดไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ว่ารัฐมีหน้าที่ 3 ข้อคือ รัฐต้องเคารพสิทธิมุนษยชนขึ้นพื้นฐาน ต้องไม่ละเมิด รัฐต้องทำหน้าที่ในการปกป้อง คุ้มครอง และรัฐต้องส่งเสริม โดยสร้างกลไกที่เอื้อให้คนได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานดังกล่าว แต่ในสังคมไทย คนยังมีความเข้าใจเรื่องนี้ที่แตกต่างกัน ทางคณะกรรมการองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ทำโพลพบว่า คนยังมีทัศนะทางลบต่อเรื่องคนเพศเดียวกันจะจดทะเบียนสมรส เรื่องการยุติการตั้งครรภ์ และการคุ้มครองผู้ขายบริการทางเพศภายใต้กฎหมายแรงงาน”
นายสมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ยกตัวอย่างกรณีของการออกกฎหมายรับรองการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันในประเทศฝรั่งเศสว่า “ไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการให้สิทธิในการรับบุตรบุญธรรมของครอบครัวเพศเดียวกันซึ่งคนฝรั่งเศสถกเถียงกันอย่างกว้างขวางเพราะส่วนใหญ่มองว่าครอบครัวหน้าที่สืบเผ่าพันธุ์ของสังคม ทั้งที่ปัจจุบันคนนิยมเป็นโสดหรือแต่งงานแต่ไม่มีลูกกันมากขึ้น การผลักดันกฎหมายแต่งงานของคนรักเพศเดียวกันในสังคมไทยจึงต้องระวังการใช้คำว่าความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาให้ดีเพราะจะส่งผลให้เกิดปัญหาตามมาอีกหลายเรื่อง”
นายโตมร ศุขปรีชา บรรณาธิการนิตยสารจีเอ็ม ชี้ว่า “แม้แต่นโยบายเกี่ยวกับการวางผังเมืองของรัฐก็มีผลกระทบต่อเรื่องเพศของประชาชน ยกตัวอย่างกรณีของเมืองใหญ่ที่ออกแบบให้คนต้องซื้อบ้านชานเมืองเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ส่งผลให้ต้องมีรถยนต์ส่วนตัว เกิดเป็นวัฒนธรรมการขับรถจากบ้านชานเมืองเข้ามาทำงานในเมือง แต่ในอังกฤษสำรวจพบว่ารถยนต์กว่าร้อยละ 70 เป็นของเพศชาย สะท้อนว่าการออกแบบเมืองมุ่งตอบสนองความต้องการของผู้ชายมากกว่าผู้หญิง”
ที่มา : แผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ สสส.