สังคมคุณภาพเริ่มต้นที่ ‘สร้างคนออกกำลังกาย’
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
แฟ้มภาพ
อาจารย์ณรงค์ เทียมเมฆ ผู้ทรงคุณวุฒิแผนส่งเสริมกิจกรรมทางกาย สสส. อดีตรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง จ.ราชบุรี อดีตประธานสมาพันธ์ชมรมวิ่งเพื่อสุขภาพไทย ที่ขาดไม่ได้คือ ท่านคือผู้ริเริ่มงานวิ่งที่เรียกได้ว่าโด่งดังที่สุดงานหนึ่งของเมืองไทยคือ จอมบึงมาราธอน
ในวัย 70 กว่า ท่านมีเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับการวิ่งที่มีส่วนช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนไม่น้อยมาฝาก
งานจอมบึงมาราธอน เริ่มต้นจากคนวิ่งประมาณ 100 คน แล้วเราตื่นเต้นมาก ในยุคนั้นประเทศไทยไม่ค่อยมีงานวิ่งเท่าไหร่ จากนั้นแต่ละปีจำนวนคนวิ่งก็เขยิบมากขึ้นเรื่อยๆ จนล่าสุดปีที่แล้ว คนเข้าร่วมวิ่งประมาณ 8,000 คนความภูมิใจคือ การได้เป็นฟันเฟืองเล็กๆ ที่ขับเคลื่อนคนให้ออกกำลังกาย ท่านบอกเล่าด้วยสีหน้าภูมิใจ
ย้อนไปก่อนหน้านี้ อาจารย์ณรงค์เล่าว่า ท่านมีชีวิตที่ผูกพันกับการวิ่ง “ผมเริ่มวิ่งจริงจังหลังอายุ 35 ปี เพราะการวิ่ง วิ่งได้เลย ถ้าเรามีเวลาน้อยเราก็วิ่งเร็ว หัวใจชีพจรก็ทำงานเร็ว มันได้ผล ได้ประสิทธิภาพทันที ก็เลยเป็นที่มาของการวิ่งอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งไปสู่การชวนคนอื่นวิ่ง วิ่งออกกำลังกายพอนานๆ เข้า ก็คิดว่าเรามาจัดงานวิ่งสนุกๆ กันดีกว่า เลยจัดงาน จอมบึงมาราธอน ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2528 หรือ 32 ปีที่แล้ว ระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร คนมาวิ่งประมาณ 100 คน จากนั้นไม่คิดจะจัดอีก แต่คนที่เคยวิ่ง ได้เขียนจดหมายถึงอธิการบดีว่า งานที่เคยจัดเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้จะจัดวันไหน เขาจะมาวิ่งอีก ก็เลยเห็นว่าคนสนใจ เลยจัดมาต่อเนื่องไม่หยุดเลย
ปีนี้เป็นปีที่ 32 ถือว่างานได้เติบโตขึ้นตามลำดับ และปีล่าสุดใช้ชื่องานว่า สสส.จอมบึงมาราธอน เพราะ สสส.เริ่มเข้าสนับสนุนงาน ส่วนงานปีหน้า มีคนสมัครแล้ว 9,000 กว่าคน งานนี้ไม่มีเงินรางวัล แต่รางวัลคือความสุขของนักวิ่ง ได้เหรียญสำหรับการวิ่งพิชิตเส้นชัยทุกคน และมีถ้วยรางวัลสำหรับผู้ชนะ”
ท่านเล่าต่อว่า เส้นทางก่อนไปสู่การวิ่งมาราธอนนั้นเป็นกระบวนการฝึกตนอีกรูปแบบหนึ่ง การวิ่งคือการซ้อมคนเดียว สามารถนำไปสู่การวิ่งแบบมีสติ แบบมีสมาธิก็ยังได้ เราซ้อมอยู่คนเดียวในที่สงบๆ มันก็เกิดพลังภายในร่างกาย ด้านกายกับจิต วิ่งด้วยกาย แต่เราใช้พลังทางกายและทางจิต ทำให้เกิดความนิ่ง เกิดสมาธิ แต่เวลาที่เราออกไปวิ่งในงาน ที่มีผู้คนเป็นพันเป็นหมื่น เข้าสู่สังคม เราก็พบปะกับผู้คนมากมาย ต้องปรับตัวเข้ากับคนเหล่านั้น มีทั้งวัย 80 ปี ไปจนถึงวัย 5-6 ขวบ ทำให้โลกของเรากว้างขึ้น
นอกจากนี้แล้ว ท่านยังบอกว่าการวิ่งสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนได้อย่างมหาศาล “วิ่งสู่ชีวิตใหม่ในความคิดของผม ให้ชีวิตใหม่กับเราทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ถ้าระยะสั้น คือการวิ่ง 30 นาทีแล้วจบ ร่างกายจะหลั่งสารแห่งความสุข คือสารเอ็นดอร์ฟีน เราจะรู้สึกชื่นชม ปีติ มีความสุข ความเครียดต่างๆ จะลดลงหลังการออกกำลังกาย ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ถึงจุดให้ร่างกายเหนื่อย ชีพจรเต้นแรง แล้วเราพักสักครู่หนึ่ง ความปีติสุขจะเกิดขึ้น ตรงนี้คือชีวิตใหม่ มันเกิดขึ้นได้ทุกครั้งหลังการออกกำลังกาย พอระยะกลางขึ้นไป ถ้าเราทำอย่างต่อเนื่อง สมรรถภาพร่างกายของเราจะดีขึ้น ถ้าเราไม่ได้ออกกำลังกาย 7 วัน 15 วัน เวลาเดินขึ้นบันได เราจะรู้สึกเหนื่อยอ่อนล้า เดินขึ้นไปก็หอบแล้ว แต่ถ้าเราออกกำลังกายสม่ำเสมอ เราจะเห็นชัดว่าสมรรถภาพทางร่างกายเราดีขึ้น วีถีการทำงานในชีวิตประจำวันก็ดีขึ้น ระยะยาว คือโรคภัยไข้เจ็บห่างไป ไม่เบียดเบียนเรา เราก็เป็นคนสูงวัยที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี”
Active Living for All คือการกระตุ้นให้คนแอคทีฟ ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกาย เพราะปัญหาที่คุกคามคนทั้งโลกขณะนี้คือภาวะเฉื่อย การนั่งนิ่งๆ นานเกินไป
สสส. ในฐานะองค์กรที่อยากเห็นคนไทยมีสุขภาพดี ปีนี้ครบรอบ 15 ปี ถือว่าได้เปลี่ยนแปลงชีวิตคนไทยเรื่องการออกกำลังกายได้มาก โดยเฉพาะการวิ่ง ซึ่งอาจารย์ณรงค์ในฐานะผู้บุกเบิกเรื่องการวิ่งร่วมกับ สสส.มายาวนานตลอดชีวิตท่าน ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานวิ่งใหญ่ประจำปีอย่าง Thai Health Day Run ไว้ว่า
“มันมีตัวชี้วัดว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่คนมีคุณภาพทั้งการทำงาน เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ประเทศนั้นๆ มักจะเป็นประเทศที่มีคนรักการออกกำลังกาย ควบคุมตัวเองเรื่องการกิน อยู่ หลับ นอน มุ่งสู่อนาคตของตัวเอง ถ้าคนพัฒนาไปถึงจุดนั้นได้ คือ มีวินัยในตัวเอง ประเทศนั้นก็จะมีความเจริญรุ่งเรือง เช่นเดียวกัน การวิ่งเป็นมิติหนึ่งของการออกกำลังกาย ถ้าผู้คนส่วนใหญ่ตื่นตัวในเรื่องนี้ ก็จะส่งผลไปถึงการทำงาน ส่งผลไปถึงเศรษฐกิจ คนพวกนี้เขาจะไม่ลาป่วย ไม่เจ็บออดๆ แอดๆ เวลาต้อนรับลูกค้า เขาก็จะยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นผลมีอารมณ์ที่ดี หลายประเทศตื่นตัวเรื่องการออกกำลังกายมาก เช่น งานบอสตันมาราธอน นิวยอร์กมาราธอน ลอนดอนมาราธอน เบอร์ลินมาราธอน ยกตัวอย่างงานโตเกียวมาราธอน ที่จะเริ่มในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ รับสมัครคนแค่ 3 หมื่นคน แต่มีคนสมัครเป็นแสนๆ คน ส่วนเมืองไทยเราถ้าทำได้ คนของเราก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี”
จากขยับมาวิ่งมาราธอนกันไหม? จากยุคปรากฏการณ์ Running boom ในปี 2530 ซึ่งผู้คนออกมาวิ่งเป็นแสนๆ คน ผ่านมาเกือบ 30 ปี ทุกวันนี้ผู้คนตื่นตัวหันมาออกกำลังกายกันเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในวัย 25-35 ปี สิ่งเหล่านี้จะต้องไม่มีวันหยุด ต้องพัฒนาก้าวหน้าต่อไป งานวิ่ง Thai Health Day Run ในวันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ คืออีกปรากฏการณ์ที่จะช่วยสร้างนักวิ่งหน้าใหม่ สนใจข้อมูลเพิ่มเติมคลิกไปได้ที่ "http://www.runningconnect.com" หรือ facebook Thai Health Day Run