สสส.ไทยพี่เลี้ยงนักสร้างเสริมสุขภาพโลก

ที่มา : เดลินิวส์ 

แฟ้มภาพ

สสส. จัดประชุมเชิงปฏิบัติการได้ทำข้อตกลงความร่วมมือระหว่างองค์การอนามัยโลกสำนักงานภูมิภาคเอเชียใต้-ตะวันออก (WHO-SEARO) เพื่อสร้างความเข้มแข็งด้านงานสร้างเสริมสุขภาพและลดปัจจัยเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นเจ้าภาพจัดประชุมเชิงปฏิบัติการได้ทำข้อตกลงความร่วมมือระหว่างองค์การอนามัยโลกสำนักงานภูมิภาคเอเชียใต้-ตะวันออก (World Health Organization,South-East Asia Region Office: WHO-SEARO) เมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งด้านงานสร้างเสริมสุขภาพและลดปัจจัยเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังของประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้-ตะวันออก ระหว่างปี 2558-2560 งานประชุมครั้งนี้มี 7 ประเทศเข้าร่วม ประกอบด้วย  เมียนมา อินโดนีเซีย ราชอาณาจักรกัมพูชา ราชอาณาจักรภูฏาน สาธารณรัฐมัลดีฟส์ ศรีลังกา และติมอร์ เลสเต

พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ประธานในพิธีเปิดการประชุม กล่าวว่า ไทย ถือเป็นต้นแบบของประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้-ตะวันออก ที่ประสบความสำเร็จในการมีกองทุน สสส. ดูแลสุขภาวะของประชาชน หลายประเทศนำไทยเป็นแบบอย่าง ซึ่งองค์การอนามัยโลกให้การชื่นชม สสส. เป็นต้นแบบสร้างเสริมสุขภาพ มีการทำงานสร้างเสริมสุขภาวะเป็นประเทศแรก ๆ ในภูมิภาค ซึ่งผลงาน สสส. ตลอด 15 ปี มีมากมายไม่ใช่มีเพียงเรื่องเหล้า บุหรี่ แต่ครอบคลุมการมีสุขภาพกาย  ใจ และการสร้างสังคมที่ดี จึงให้ไทยเป็นต้นแบบและเป็นศูนย์ กลางในการพัฒนางานสร้าง เสริมสุขภาพของประชากร ในภูมิภาคแก่ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้

ทั้งนี้โรคไม่ติดต่อเรื้อ รังเอเชียใต้-ตะวันออก สูง เป็นอันดับ 1 คิดเป็น 55% ของการตายทั้งหมด หรือเกือบ 8 ล้านคนต่อปี ส่งผลกระทบต่อประเทศรายได้ต่ำและปานกลางอย่างมาก ถือเป็นความท้าทายที่ประเทศไทย โดย สสส. และ WHO- SEARO จะร่วมกันวางรากฐานการพัฒนาศักยภาพการสร้างเสริม สุขภาพ

ดร.สุวจี กู๊ด ผู้ประสานงานด้านการสร้างเสริมสุขภาพและปัจจัยกำหนดสุขภาพทางสังคม องค์การอนามัยโลกประจำภูมิภาคเอเชียใต้-ตะวันออก กล่าวว่า ทิศทางขององค์การอนามัยโลกทุกภูมิภาค คือสนับสนุนทุกประเทศมีการสร้างเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันโรค ระบบสุขภาวะของไทย มีความเข้มแข็งที่สุดในภูมิภาคนี้ มีการทำงานร่วมกันโดยกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับองค์กรที่ดำเนินงานใน 3 ด้าน คือ 1. ด้านหลักประกันสุขภาพ ได้แก่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม 2. ด้านนโยบาย คือ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และ 3. ด้านการสร้างเสริมสุขภาพ คือ สสส.ในเวทีการประชุมดังกล่าวแต่ละประเทศได้บอกเล่าถึงประสบการณ์และการทำงานด้านป้องกันสุขภาพภายในประเทศ การทำงานป้องกันสุขภาพ

น.ส.ฟาริมาธ ลิวซา จากสมาคมการศึกษาด้านสุขภาพ จากประเทศมัลดีฟส์ เล่าว่า ด้วยภูมิภาคของประเทศมีสภาพเป็นเกาะกระจัดกระจาย การทำงานส่งเสริมสุขภาพทำได้ลำบาก จึงร่วมกับสถานีโทรทัศน์ทีวีผลิตรายการส่งเสริมสุขภาพซึ่งประสบความสำเร็จมาก  นอกจากนี้ยังได้ลงนามข้อตกลงกับบริษัทประกันชีวิต ร่วมกันทำงานรณรงค์สร้างความตระหนักเรื่องมะเร็ง ลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคไม่ติดต่อ (NCDs)

ขณะที่ศรีลังกา น.ส.ซินฮาลาเก อาจิธา พาตาโกดา ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณแห่งชาติศรีลังกา กล่าวว่า ประเทศได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์การส่งเสริมสุขภาพระหว่างปี 2014-2018  ครอบคลุมเรื่องโรคเอ็นซีดี ผลงานการป้องกันสุขภาพที่สำเร็จแล้ว เพิ่มคำเตือนบนซองบุหรี่ 80% กำหนดแถบสีเป็นสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสม

น.ส.ธินลี ซางโม เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ สมาคมการศึกษาด้านสุขภาพ ภูฏาน เล่าว่า ประเทศมีประชากร 700,000 คน และจัดเป็นประเทศด้อยพัฒนา  แต่รัฐบาลได้กำหนดแผนในการสร้างเสริมสุขภาพมาตั้งแต่ปี 2010 ทำงานประสานกันทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรมนุษย์ มีการจัดตั้งอาสาสมัครทางสุขภาพในปี 2008 และ จัดรายการส่งเสริมสุขภาพเรียลิตี้โชว์ผ่านรายการทีวีเหล่าประเทศดังกล่าวได้ตระหนักเห็นความสำคัญของการป้องกันสุขภาพมากว่าซ่อม และสนใจที่จะเร่งผลผลักดันให้มีหน่วยงานลักษณะเดียวกับสสส.เกิดขึ้นในประเทศ

ขณะที่ประเทศเจริญแล้ว อย่างเกาหลีใต้ได้ก่อตั้งหน่วยงานลักษณะเดียวกับ สสส. แล้ว ตัว แทนจากประเทศเกาหลีใต้บอกว่า ประเทศมีการประกาศ พ.ร.บ.ยาสูบในปี 2015 นำภาษีของยาสูบมาตั้งเป็นหน่วยงานส่งเสริมสุขภาพใช้เวลาในการผลักดันมาถึง 15 ปี ทำงานป้องกันโรคโดยในเดือนธ.ค. ปีนี้ประเทศเกาเหลีใต้จะเริ่มประกาศคำเตือนบนซองบุหรี่

นอกจากนี้ยังทำงานประสานความร่วมมือกับบริษัทประกันสุขภาพ เพื่อนำเงินส่วนหนึ่งมาส่งเสริมสุขภาพ เพราะโรคบางชนิดเช่นเบาหวานต้องใช้เงินรักษาจำนวนมาก แต่ถ้าเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคได้ลดความเสี่ยง บริษัทประกันก็ได้ประโยชน์ที่ลูกค้าไม่ต้องเคลมค่ารักษา เป็นต้น

ส่วนตัวแทนจากประเทศออสเตรเลียบอกเล่าว่า ได้ก่อตั้งองค์กร สสส. มาร่วม 20 ปี ซึ่งผลจากการที่รัฐบาลประกาศขึ้นราคาบุหรี่ทำให้คนในประเทศลดการสูบบุหรี่ลง 70 เปอร์เซ็นต์

ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ที่ปรึกษาเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพโลก กล่าวว่า การก่อตั้งองค์กร สสส. ไม่ได้ผูกขาดว่าประเทศที่ร่ำรวยสามารถทำได้ แม้ก่อนหน้านี้ สสส. จะเกิดขึ้นในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แต่ตัวอย่างการตั้งองค์กร สสส. ของไทยมา 15 ปีซึ่งเราไม่ได้เป็นประเทศที่ร่ำรวย ทำให้เห็นว่าแนวคิดเรื่องตั้ง สสส. ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

แนวทางการทำงานส่งเสริมสุขภาพระดับนานาชาติจะมีผลเป็นห่วงโซ่ที่ยกระดับเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ ด้วยเพราะหากผู้คนไม่เจ็บป่วย งบประมาณของประเทศก็ไม่ต้องใช้ไปกับการรักษาโรค…โดยเฉพาะโรคไม่ติอต่อเรื้อรังกำลังเป็นสงครามคุกคามสุขภาพของประชาชนทั่วโลก