สสส.–ยธ.–MovED เดินหน้าลดอคติ ดัน (ร่าง) พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติ ปิดช่องว่างสิทธิกลุ่มเปราะบาง สร้างสังคมเท่าเทียม
ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข
ภาพประกอบจาก สสส.

หยุดอคติ เลือกปฏิบัติ! สสส. สานพลัง ยธ.-MovED เปิดเวทีสาธารณะ เร่งผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติฯ สร้างหลักประกันสิทธิให้ทุกชีวิต หลังวิจัยพบช่องว่างทางสังคมคนไร้บ้าน เผชิญอคติสูงสุดในสังคมไทย LGBTQIAN+ ถูกเลือกปฏิบัติพุ่ง 39.1% ถูกตีตราอัตลักษณ์ทางเพศสูงกว่าปชช. ทั่วไป 15.7 เท่า! พร้อมเดินหน้าหนุนร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 21 พ.ย. 2568 ที่กระทรวงยุติธรรม กรุงเทพฯ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ (MovED) จัดเวทีสาธารณะ “เห็นคุณค่าทุกชีวิต เดินหน้ากับ (ร่าง) พระราชบัญญัติขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลพ.ศ. …” เพื่อสร้างความเข้าใจ และความร่วมมือในการนำกฎหมายไปใช้เป็นเครื่องมือสร้างสังคมที่เท่าเทียมอย่างเป็นรูปธรรม

พลตำรวจโท รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า สืบเนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มุ่งคุ้มครองสิทธิเสรีภาพลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนประกอบกับรัฐบาลมีเจตนารมณ์ และความมุ่งมั่นในการส่งเสริมคุ้มครองสิทธิมนุษยชนโดยไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาประเทศและคำนึงถึงหลักปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ดังนั้นกระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิ์และเสรีภาพ จึงได้เล็งเห็นความสำคัญในด้านดังกล่าว โดยเสนอร่างพระราชบัญญัติขจัดการเพื่อปฏิบัติต่อบุคคล พ.ศ. … เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาผลักดันเป็นกฎหมายขับเคลื่อนสังคมที่เท่าเทียม และขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล ขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวอยู่ระหว่างกระบวนการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย การจัดเวทีสาธารณะครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่ทุกภาคส่วน จะได้ร่วมกันสื่อสารขับเคลื่อนการขจัดการเลือกปฏิบัติ ลดการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างเป็นรูปธรรมในการแก้ปัญหาต่อไป

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า สสส. สนับสนุนงานวิจัยของคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมูลนิธิสถาบันศึกษาเมือง เพื่อทำความเข้าใจมิติของอคติในสังคมไทย พบว่า กลุ่มคนไร้บ้าน เผชิญอคติสูงสุดในทุกมิติ ทั้งการถูกเหมารวมในเชิงลบ การถูกมองด้วยความไม่ไว้วางใจ กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQIAN+ ต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติ 39.1% และเกิดจากการตีตราด้านอัตลักษณ์ทางเพศสูงกว่าประชากรทั่วไป 15.7 เท่า กลุ่มคนพิการ ถูกมองด้วยความสงสาร หรือในทางกลับกันคือชื่นชมเกินจริง ขณะที่กลุ่มประชากรข้ามชาติ และถูกมองเป็นเพียงแรงงาน มากกว่าที่จะเห็นคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน

“แม้ในภาพรวมไทยมีกฎหมายคุ้มครองการเลือกปฏิบัติอยู่หลายฉบับ แต่ยังพบว่ามีช่องว่างหลายประการ ที่ทำให้มีโอกาสถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งความแตกต่างด้านฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม อาชีพ เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ เพศสภาพ อายุ ศาสนา และความพิการ นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำในสังคม ส่งผลให้เข้าไม่ถึงบริการจำเป็น ทั้งบริการด้านสุขภาพและบริการทางสังคม การผลักดันกฎหมายจึงเป็นหลักประกันสิทธิให้กับคนทุกคน โดยเฉพาะ “ร่าง พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลฯ” ฉบับภาคประชาชน ที่มุ่งดำเนินงานแก้ไขปัญหาการตีตราและเลือกปฏิบัติแบบเชิงรุก ที่มีการเสนอให้จัดตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างสังคมที่มีสุขภาวะ เพราะสิทธิมนุษยชนไม่ใช่สิทธิพิเศษของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของทุกคนอย่างแท้จริง” ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าว

นางนิภากรณ์ นันตา ตัวแทนเครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ กล่าวว่า ปัจจุบันMovED ได้เชื่อมเครือข่ายระดับหน่วยงาน บุคคล ภาคประชาสังคม ผู้ได้รับผลกระทบ ในประเด็นต่างๆ 16 กลุ่มประเด็น และองค์กรด้านการวิจัย วิชาการ องค์กรภาครัฐ 103 หน่วยงาน เพื่อร่วมผลักดัน “กฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติ” ซึ่งที่ผ่านมาภาคประชาชนได้มีการเสนอ ร่าง พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลฯ ที่ผ่านการเข้าชื่อจากประชาชน 11,790 รายชื่อ มาตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน มีร่างกฎหมาย 5 ฉบับที่มีสาระสำคัญในการห้ามเลือกปฏิบัติยังคงค้างอยู่ในระบบ ได้แก่ 1.ฉบับภาคประชาชน 2.ฉบับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม 3.ฉบับพรรคเป็นธรรม 4.ฉบับพรรคประชาชาติ 5.ฉบับพรรคเพื่อไทย

“การมีเวทีสาธารณะครั้งนี้ จึงนับเป็นก้าวสำคัญที่จะเดินหน้าต่อกับ ร่าง พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลฯ ผ่านการสร้างความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ ภาคประชาสังคม และฝ่ายการเมือง การขับเคลื่อนร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้เกิดกลไกทางกฎหมายที่เข้มแข็งในการคุ้มครองสิทธิของประชาชนทุกคน เพื่อขับเคลื่อนให้ไทยไปสู่สังคมที่เคารพความแตกต่างหลากหลายอย่างแท้จริง” นางนิภากรณ์ กล่าว


