สสส. ปั้นหนอนหนังสือ กระตุ้นเด็กไทยเสริมนิสัยรักการอ่าน

 

 

เป็นที่ทราบกันดีว่าสถิติการอ่านหนังสือของเด็กไทยในปัจจุบัน ยังอยู่ในขั้นวิกฤติเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นในเวลานี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต่างเร่งรณรงค์ และหันมาส่งเสริมให้เด็กไทยอ่านหนังสือเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ก็เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานหลัก ที่ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว และพยายามแก้ไข เพื่อกระตุ้นให้เด็กไทยสนใจ และนิสัยรักการอ่าน

แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน ร่วมกับภาคีเครือข่ายส่งเสริมการอ่าน เปิดตัวโครงการ “ปิดเทอมสร้างสรรค์ ชวนอ่านสร้างสุข” เพื่อให้เด็กไทยใช้เวลาว่างในช่วงปิดเทอมให้เกิดประโยชน์ ซึ่งมีรูปแบบกิจกรรมที่หลากหลาย อาทิ การสำรวจหนังสือที่เด็กอยากแนะนำให้เพื่อนๆ อ่านในช่วงปิดเทอม และหนังสือที่เด็กอยากอ่าน และอยากได้เป็นของขวัญมากที่สุด โดยผลการสำรวจกลุ่มเด็กไทยทั่วประเทศ อายุ 6-18 ปี จำนวน 3,216 คน พบว่า เด็กชอบอ่านการ์ตูนเป็นลำดับต้นๆ ซึ่งมีทั้งการ์ตูนเพื่อความบันเทิง และการ์ตูนส่งเสริมการเรียนรู้ นอกจากนี้หนังสือที่เด็กอยากได้เป็นของขวัญในลำดับต้นๆ ก็ยังเป็นการ์ตูนเช่นเดียวกัน

นางสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน กล่าวว่า ในเมื่อผลการสำรวจระบุชัดเจนว่า หนังสือที่เด็กอยากอ่านมากที่สุดคือ การ์ตูน ก็คงต้องเรียกร้องไปยังสำนักพิมพ์ต่างๆ ให้ช่วยกันสร้างสรรค์ และผลิตการ์ตูนดีๆ ให้แก่เด็ก โดยมีผู้ปกครองและครูเป็นผู้ให้คำแนะนำว่าการ์ตูนแบบใดที่มีความเหมาะสม ซึ่งคงต้องดูตามวัย หากเป็นเด็กเล็กก็ควรเป็นการ์ตูนภาพ โดยเน้นเรื่องความผูกพัน ความไว้ใจ และความมีน้ำใจ ส่วนเด็กโตก็ควรมีเนื้อหาที่สอดคล้องกับเรื่องทัศนคติ ความเกื้อกูล ค่านิยมทางเพศ และค่านิยมทางสังคมที่ดีงาม

ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒธรรมการอ่าน กล่าวว่า “อยากเปิดศักราชใหม่ให้ผู้ใหญ่ได้เข้าใจ และยอมรับว่าการ์ตูนก็มีความสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพสมองของเด็ก โดยจะเห็นได้ว่าในต่างประเทศก็นิยมใช้การ์ตูนเป็นหนังสือที่ใช้ในการรณรงค์ส่งเสริมการอ่านให้เกิดขึ้นในเด็ก เพราะการอ่านการ์ตูนจะช่วยทำให้เกิดความสุข และความเพลิดเพลิน ซึ่งจุดนี้จะทำให้เด็กจดจำเรื่องต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้หากเราต้องการให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งปัญญา ทุกฝ่ายคงต้องช่วยกันรณรงค์ส่งเสริมการอ่านในพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานกับเด็กเล็ก ซึ่งถือเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะเป็นผู้ที่จะสร้างพลเมืองแห่งอนาคต”

นอกจากนี้โครงการดังกล่าวยังมีกิจกรรม “ปั่นสร้างปัญญา” ซึ่งนายจรัญ มาลากุล หัวหน้าโครงการอ่านสร้างชาติ มูลนิธิกระจกเงา ได้กล่าวถึงกิจกรรม ปั่นสร้างปัญญา ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการอ่านเช่นเดียวกันได้กล่าวว่า กิจกรรมนี้เป็นการปั่นจักรยานเข้าไปในชุมชน เพื่อนำหนังสือเข้าไปถึงกลุ่มผู้ที่ขาดโอกาส โดยระยะแรกจะเริ่มนำร่อง 10 ชุมชนใน กทม. ซึ่งนอกจากจะนำหนังสือไปให้เด็ก และคนในชุมชนได้เลือกอ่านหนังสือตามความชอบของตนเองแล้ว จะมีการตั้งกลุ่มเล่านิทาน หรือทำงานศิลปะร่วมกันด้วย เพื่อให้เกิดกระบวนการคิด และการเรียนรู้ ซึ่งขณะนี้กำลังเปิดรับสมัครอาสาสมัครปั่นจักรยานลงพื้นที่ไม่จำกัด โดยได้เริ่มดำเนินการไ/ปแล้วในวันที่ 23 ต.ค. ที่ผ่านมา

เช่นเดียวกับ “รถเข็นนิทานมอบความสุขถึงเตียงผู้ป่วยเด็ก” ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่มาร่วมสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านของเด็กไทยที่เป็นผู้ป่วยเด็กในหอผู้ป่วย

น.ส.อวยพร กิติเจริญรัตน์ รองผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวว่า ขณะนี้ทางสถาบันฯ มีรถเข็นนิทานประมาณ 27 คัน โดยจะส่งหนังสือเข้าถึงทุกตึกของผู้ป่วย แต่ขณะนี้หนังสือขาดแคลนมาก เพราะบางคนเมื่ออ่านแล้วรู้สึกชอบก็จะนำกลับบ้าน อย่างไรก็ตามเราจะเน้นให้แม่ช่วยอ่านหนังสือให้ลูกฟัง ซึ่งการอ่านหนังสือนอกจากจะช่วยให้เด็กจดจำสิ่งดีๆ และเกิดนิสัยรักการอ่านแล้ว ยังช่วยให้ผู้ป่วยเด็กลืมความเจ็บปวด และคลายวิตกกังวลกับอาการเจ็บป่วยได้ด้วย จึงอยากเชิญชวนผู้มีจิตอาสาในการบริการทุกท่าน มาร่วมแบ่งปันความสุขด้วยการเล่านิทาน หรืออ่านนิทานให้ผู้ป่วยฟังถึงเตียงคนไข้ ซึ่งหากผู้ใดสนใจสามารถติดต่อมาได้ที่ทางสถาบันฯ โดยตรง อย่างไรก็ตามขณะนี้รถเข็นนิทานฯ ได้รับการตอบรับที่ดีมากจากทั้งเด็กและผู้ปกครอง เพราะทำให้เด็กที่ป่วยได้มีโอกาสในการพัฒนา อีกทั้งในกรณีที่แม่อุ้มลูกนั่งตักแล้วอ่านนิทานให้ลูกฟัง ก็ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแม่กับลูกด้วยเช่นกัน

และหากจะมองถึงกลุ่มเป้าหมายที่ยังอยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน นายพุฒิเมธ นพเก้ารัตนมณี ตัวแทนนักเรียนจากโรงเรียนโพธิสารพิทยากร และนักกิจกรรมประจำโรงเรียน เล่าถึงกิจกรรมรักการอ่านของโรงเรียนว่า โรงเรียนได้สนับสนุนเรื่องการอ่านมาโดยตลอด โดยจะมีการจัดกิจกรรมสัปดาห์นักอ่านขึ้นเป็นประจำทุกภาคเรียน ประกอบด้วย การออกร้านจำหน่ายหนังสือ เกมส่งเสริมพัฒนาการทางด้านการอ่าน พร้อมกันนี้ยังได้มีการจัดกิจกรรมมอบหนังสือสู่ชุมชน ซึ่งพวกเราจะได้ลงพื้นที่เพื่อนำนิสัยรักการอ่านสู่ชุมชน ทั้งนี้การทำกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ทำให้ตนรู้สึกภาคภูมิใจ เพราะได้ช่วยสร้างความสนุกสนานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้มากมาย

กิจกรรมอันเกิดจากแนวคิดต่างๆดังกล่าว ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการดีๆ ที่จะมาเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสร้างนิสัยรักการอ่านให้เกิดขึ้นกับเด็กไทย ซึ่งหากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชนร่วมใจ และตั้งใจจริงที่จะดำเนินกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง เชื่อแน่ว่าสถิติการอ่านหนังสือของเด็กไทยคงจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน และในช่วงปิดเทอมนี้คงจะทำให้เด็กๆ ได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง

         

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า

Shares:
QR Code :
QR Code