สสส.ประชุมใหญ่หาทางสกัด “เหล้าหลอกเด็ก”

ที่มา : เว็บไซต์ไทยโพสต์ 


ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


สสส.ประชุมใหญ่หาทางสกัด


สสส.-ศวส.เตรียมจัดการประชุมวิชาการสุราระดับชาติ ครั้ง 9 ระหว่างวันที่ 24-25 พ.ย.นี้ ชูประเด็น “สานพลังพิทักษ์สิทธิเด็กและเยาวชนให้พ้นภัยสุรา” ชี้เยาวชนไทยน่าห่วง ธุรกิจเหล้า เบียร์ ผับ บาร์ ใช้โซเชียลมีเดียรุกถึงตัว เด็กมหาวิทยาลัย 43.4% ยอมรับติดตามคอนเสิร์ต-เบียร์ปาร์ตี้จากเฟซบุ๊ก ไลน์


ดร.นพ.บัณฑิต ศรไพศาล รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และรักษาการผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ มากกว่า 200 ชนิด เป็นต้นเหตุการเสียชีวิตของประชากรทั่วโลกมากถึง 3.3 ล้านคนต่อปี หรือทุก 10 วินาที จะมีคนตาย 1 คน เมื่อพิจารณาข้อมูลในประเทศไทย โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ในปี 2558 ประชากรไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป มีประมาณ 18 ล้านคนดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใน 12 เดือนที่ผ่านมา ในจำนวนนี้ร้อยละ 40 เป็นนักดื่มประจำ ซึ่งดื่มตั้งแต่ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ขึ้นไป และจากการสำรวจในนักเรียนระดับมัธยมศึกษาทั่วประเทศเมื่อต้นปี 2559 นี้ พบว่า นักเรียนชายร้อยละ 19.3 และนักเรียนหญิงร้อยละ 16.2 ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปัจจุบัน หรือ 30 วันก่อนการสำรวจ


สถานการณ์การดื่มที่น่าเป็นห่วงยังอยู่ในกลุ่มเยาวชน แต่ละปียังเกิดนักดื่มหน้าใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากปัญหาสุขภาพ ยังเกิดปัญหาสังคม เช่น ปัญหาพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง การทะเลาะวิวาท ปัญหาการเรียน การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ อุบัติเหตุและการบาดเจ็บ การตายก่อนวัยอันควร รวมทั้งมีผลต่อชีวิตเด็กและเยาวชนคนนั้นต่อไปในอนาคต โดยเพิ่มโอกาสในการเป็นโรคติดสุรา และการทำงานของสมองเสื่อมถอยเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ จึงจำเป็นต้องมีนโยบายสนับสนุนการไม่ดื่มสุราในโอกาสต่างๆ และการสร้างค่านิยมหรือบรรทัดฐานทางสังคมต่อการไม่ดื่มสุรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กและเยาวชน” ดร.นพ.บัณฑิตกล่าว


ดร.นพ.บัณฑิตกล่าวต่อว่า การขับเคลื่อนเพื่อผลักดันให้เกิดนโยบาย มาตรการ และการดำเนินการต่างๆ เพื่อควบคุม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ต้องอาศัยความรู้ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนภาคประชาสังคมและภาคนโยบาย ซึ่งในวันที่ 24-25 พ.ย.นี้ สสส.ร่วมกับศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) พร้อมด้วยเครือข่ายภาคีต่างๆ อาทิ สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า แผนงานการพัฒนาระบบการดูแลผู้มีปัญหาการดื่มสุรา แผนงานภาคีวิชาการสารเสพติด สำนักวิจัยนโยบายสร้างเสริมสุขภาพ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล มูลนิธิสื่อเพื่อเยาวชน และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รวมทั้งสิ้น 10 องค์กร ได้จัดการประชุมวิชาการสุราระดับชาติประจำปีขึ้น โดยปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 9 ภายใต้หัวข้อ “สานพลังพิทักษ์สิทธิเด็กและเยาวชนให้พ้นภัยสุรา” ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ พร้อมทั้งร่วมกันระดมความคิดเห็น วางแนวทางการผลักดันยุทธศาสตร์เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา


ด้าน ดร.ศรีรัช ลอยสมุทร ภาควิชาสื่อสารการตลาด วิทยาลัยนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า จากการวิจัยเรื่อง “เมื่อร้านเหล้าและธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายโดยตรง : สื่อ Social media คือเครื่องมือสำคัญ” พบว่า โซเชียลมีเดียกลายเป็นช่องทางสำคัญที่ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใช้ในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายอย่างเยาวชน ซึ่งพบว่าได้รับผลตอบรับรวดเร็วและแพร่กระจายในวงกว้าง โดยที่กฎหมายยังไม่สามารถควบคุมได้ และถือเป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพกว่าสื่อโฆษณาแบบเก่าอย่างมาก


จากการศึกษาพบว่า กลุ่มนักศึกษาระดับอุดมศึกษาร้อยละ 43.4 ระบุว่า ติดตามงานคอนเสิร์ตและงานเบียร์ปาร์ตี้ที่จัดตามร้านเหล้ารอบสถานศึกษาผ่านทางสื่อเฟซบุ๊กของร้าน ร้อยละ 46 บอกว่า ทราบว่าจะมีงานเหล่านี้จากการที่เพื่อนแชร์/แท็กบอกกันในสื่อโซเชียลมีเดีย และร้อยละ 24 ระบุว่า ทราบจากการได้รับ SMS ที่ร้านเหล้าส่งมาให้ในโทรศัพท์และใน Line ซึ่งเกือบทุกรายมีพฤติกรรมเดียวกันคือ ส่งต่อ แปะหน้าเฟซบุ๊กตนเองหรือเพื่อน แชร์ แท็กเพื่อนๆ และยังมีโปรโมชั่นให้เช็กอินเพื่อเป็นการส่งต่อ โฆษณาเพื่อนในออนไลน์ ในทางตรงกันข้าม มีเพียงร้อยละ 1.6 เท่านั้นที่ระบุว่า รู้เรื่องงานกิจกรรมต่างๆ ของร้านเหล้าจากการเห็นป้ายโฆษณา ซึ่งตอกย้ำว่าสื่อเก่าไม่ได้ผลและไม่มีประสิทธิภาพในการสื่อสารกับวัยรุ่นยุคใหม่เท่าสื่อโซเชียลมีเดีย


“ธุรกิจแอลกอฮอล์รู้ดีว่าสื่อประเภทไหนที่เข้าถึงเยาวชนได้มากที่สุด ประกอบกับกฎหมายยังไม่สามารถควบคุมไปถึง ทำให้เกิดเป็นช่องโหว่และเกิดการกระตุ้นการดื่มผ่านช่องทางของสื่อโซเชียลจำนวนมาก โดยใช้ผู้ดื่มเป็นช่องทางโฆษณากระตุ้นให้เกิดการพูดถึงไลค์ แชร์ ส่งต่อ รวมทั้งใช้การโฆษณาผ่านสื่อบุคคล โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นที่ได้รับความสนใจในโลกโซเชียล การใช้กลยุทธ์ lifestyle marketing หรือการสร้างพฤติกรรมต้นแบบให้เกิดการเลียนแบบและจูงใจผ่านวิธีการต่างๆ เช่น การติด hashtag การท้าให้ทำแคมเปญตามๆ กัน หรือการเล่นเกม ซึ่งในยุคที่สื่อเหล่านี้มีบทบาทสูง ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องรู้เท่าทัน เพื่อใช้มาตรการที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการป้องกันเยาวชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ” ดร.ศรีรัชกล่าว

Shares:
QR Code :
QR Code