สสส. ทำคู่มือจัดการการรังแกในโรงเรียน รู้จักเอาตัวรอดเมื่อตกเป็นเหยื่อ
ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข
ภาพประกอบจาก สสส.
สสส. แนะคู่มือจัดการการรังแกในโรงเรียน ปลูกฝังเด็กไม่รังแกคนอื่น รู้จักเอาตัวรอดเมื่อตกเป็นเหยื่อ ด้านสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ ชวนพ่อแม่สังเกตพฤติกรรมลูกถูกรังแก-คุกคามทางเพศ ชี้เหตุเด็กไม่กล้าบอกใคร เพราะถูกข่มขู่ ใช้ความรักหรือทรัพย์สินลวงล่อ
นายชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส. กล่าวเกี่ยวกับสถานการณ์เด็กถูกรังแกและคุกคามทางเพศ ว่า เป็นเรื่องน่าเศร้าใจเมื่อปรากฏข่าวเด็กถูกรังแก หรือถูกคุกคามทางเพศโดยคนใกล้ตัวอย่างต่อเนื่อง บางกรณีผู้ปกครองใกล้ตัวไม่ทราบเลยว่า บุตรหลานถูกล่วงละเมิดทางเพศมานานหลายปี ซึ่งน่ากังวลมากว่าเด็กที่ทำร้ายคนอื่นและที่ถูกทำร้าย ส่วนมากในระยะยาวมักจะมีปัญหาสุขภาพจิตเมื่อเติบโตขึ้น
สสส. จึงร่วมกับกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พัฒนาคู่มือปฏิบัติสำหรับการดำเนินการป้องกันและจัดการการรังแกกันในโรงเรียน เพื่อตัดวงจรการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ โดยปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนรู้จักวิธีป้องกันตัวเองเมื่อถูกรังแก เช่น การบอกครูหรือผู้ใหญ่ที่ไว้วางใจ โดยเน้นเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช้อารมณ์ หรือหากอยู่ในสถานการณ์ที่พึ่งพาผู้ใหญ่ใกล้ตัวไม่ได้ ยังมีช่องทางการช่วยเหลืออื่นๆ เช่น สายด่วนสุขภาพจิต 1323 หรือการแชทพูดคุยทาง https://stopbullying.lovecarestation.com/ การเก็บหลักฐาน เช่น ถ่ายคลิป แคปชั่นภาพ หรือหาวิธีจัดการอารมณ์ที่เหมาะสม ไม่จมกับอารมณ์จนรู้สึกสิ้นหวัง และหลีกเลี่ยงการอยู่คนเดียวหรือในสถานที่เปลี่ยว
“สสส. เชื่อว่าในโลกนี้ไม่ได้มีแค่ผู้ถูกกระทำอย่างเดียว แต่สิ่งแวดล้อมยังหล่อหลอมให้พวกเราทุกคนกลายเป็นผู้กระทำเสียเองด้วย คู่มือปฏิบัติดังกล่าวจึงระบุให้มีการสอนป้องกันไม่ให้เด็กรังแกคนอื่น เช่น สอนให้มีสติในการแก้ปัญหา ลงโทษอย่างมีเหตุผล สอนให้เห็นถึงผลกระทบจากการรังแกผู้อื่น ใช้เวลาว่างเพื่อดูแลสุขภาพกายและใจของเด็กให้มากขึ้น
ส่งเสริมให้เด็กมีความเมตตา เคารพสิทธิผู้อื่น และหากกระบวนการแก้ปัญหาและความท้าทายต่างๆ ไม่ส่งผลทางบวก ควรพบจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นอย่างเร่งด่วน เนื่องจากปัญหาการถูกกระทำส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อกาย จิต สังคมอย่างรุนแรงกับทุกคน และที่สำคัญที่สุดคือ ปัญหาเหล่านี้ป้องกันได้” นายชาติวุฒิ กล่าว
พญ.ดุษฎี จึงศิรกุลวิทย์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต และผู้ช่วยผู้จัดการโครงการพัฒนานวัตกรรมเชิงระบบเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพจิต สสส. กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้เด็กปกปิดเรื่องราวการถูกทำร้ายคุกคามอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ถูกผู้กระทำข่มขู่ เช่น จะทำให้สอบตก จะทำให้อับอาย หรือถูกผู้กระทำใช้ความรักเป็นสิ่งต่อรอง (กรณีนี้มักเกิดขึ้นจากการถูกผู้ใหญ่ในบ้านกระทำ) หรือถูกผู้กระทำหลอกล่อด้วยการให้ทรัพย์สินเพื่อทำให้เรื่องเงียบ ส่วนผลกระทบต่อผู้ถูกกระทำนั้น มักทำให้เกิดปัญหาด้านพฤติกรรม อารมณ์ และทักษะสังคมของเหยื่ออย่างรุนแรง
เพราะการทำร้ายคุกคามจะทำให้เหยื่อรู้สึกว่าโลกนี้ไม่ปลอดภัย ไว้วางใจไม่ได้ ทำให้เกิดปัญหาอารมณ์หงุดหงิดง่าย ซึมเศร้า มองโลกด้านลบ ขาดสมาธิ ซึม แยกตัว ไม่ค่อยพูด ไม่เล่นกับเพื่อนเหมือนเคย นอนน้อยลง อาจมีพัฒนาการถดถอย เช่น ปัสสวะราดทั้งที่เคยกลั้นได้ การเรียนแย่ลง ไม่อยากไปโรงเรียน และอาจถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการบำบัดเยียวยาด้วยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม จะส่งผลอย่างมากต่อบุคลิกภาพ และการปรับตัวของเด็ก ทำให้พัฒนาขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีปัญหาบุคลิกภาพ ใช้สารเสพติด เสี่ยงต่อการเกิดโรคซึมเศร้าและฆ่าตัวตาย
“การที่เด็กถูกทำร้าย เป็นการทำให้เกิดบาดแผลทางใจอย่างสาหัส ไม่ใช่เด็กทุกรายที่จะผ่านเรื่องราวเหล่านี้ไปได้ บางรายฝังใจจนแสดงออกด้วยความกลัวในรูปแบบต่างๆ ทั้งกลัวความมืด กลัวเสียงดัง กลัวเพศชายหรือกลัวบุคคลที่มีลักษณะคล้ายกับคนที่เคยทำร้ายมาก่อน การทำร้ายเด็กไม่ว่าจะรูปแบบใดเป็นเรื่องที่สังคมไม่ควรยอมรับ แม้จะเป็นเพียงการทำร้ายด้วยคำพูดก็ตาม
จึงเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ทุกคน ที่จะช่วยกันสอดส่องดูแลความปลอดภัยของเด็ก เมื่อพบเห็นสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับเด็กควรรีบโทรแจ้งศูนย์ประชาบดี 1300 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ขณะเดียวกันขอสนับสนุนให้ภาครัฐดำเนินการจัดหานักสังคมสงเคราะห์และนักจิตวิทยาคลินิก ให้มีจำนวนมากเพียงพอที่จะให้การดูแลเด็กที่มีบาดแผลทางใจทุกรูปแบบในทุกอำเภอ” พญ.ดุษฎี กล่าว
ผู้สนใจสามารถติดตามอ่านคู่มือปฏิบัติ สำหรับการดำเนินการป้องกันและจัดการการรังแกกันในโรงเรียน ได้ทาง http://llln.me/Qd2n4bc หรือ www.thaihealth.or.th