สสค.เปิดสถานการณ์เด็ก(ประถม)ไทย “อ่านได้ แต่ไร้การวิเคราะห์”
สสค.เปิดสถานการณ์เด็ก(ประถม)ไทย “อ่านได้ แต่ไร้การวิเคราะห์” ด้านนักวิชาการมะกันเปรียบเทียบสถิติ เด็กใช้เวลาเรียนรู้ทักษะการอ่านเฉลี่ยตลอดชีวิตเพียง 0.2% แต่ส่งผลกระทบยาว 98% กับชีวิตที่เหลือ พร้อมเปิดทุนสนับสนุนโครงการระดับประถมฯ เน้น “อ่านวิเคราะห์-สนุกกับการเรียนรู้-ปลูกฝังความเป็นคนดีในสังคม” ทั่วประเทศตั้งแต่วันนี้ถึง 14 เม.ย.
เมื่อเวลา 11.00 น. ณ โรงเรียนวัดปทุมวนาราม ในพระราชูปภัมภ์ฯ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) จัดงานแถลงข่าวเปิด “โครงการส่งเสริมนวัตกรรมสร้างสรรค์การเรียนรู้ระดับประถมศึกษาครั้งที่ 1/2554” ด้วยการร่วมแลกเปลี่ยนสถานการณ์ต้อนรับปิดเทอมของเด็กและเยาวชนไทย โดยเฉพาะเด็กนักเรียนระดับประถมศึกษาที่ประสบปัญหาการอ่านแต่จับใจความและวิเคราะห์ไม่เป็น
สถิติล่าสุดจากรายงานสภาวการณ์เด็กและเยาวชนปี 2550-2552 ระบุว่า เด็กประถมใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ไปกับการเล่นเกมส์ เพิ่มจาก 23% เป็น 32% เฉลี่ยวันละ 2-3 ชั่วโมง และท่องอินเตอร์เน็ตเพิ่มจาก 18% เป็น 22% โดยเด็กประถมเพียง 50% ระบุชอบไปโรงเรียนมาก และมีสถิติลดลงจาก 57% เป็น 50%เท่านั้น
นอกจากนี้ เด็กประถมมีอัตราเรียนพิเศษเพิ่มขึ้นรวม 27% โดยประมาณ 1 ใน 7 ของเด็กประถม ถูกส่งไปเรียนพิเศษ แสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นใจต่อการเรียนการสอนในห้องของผู้ปกครอง
รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เด็กนักเรียนวัยประถมศึกษา ต้องจัดการศึกษาที่เรียนกว่า “เรียนปนเล่น” ฉะนั้น “ครูยุคปฏิรูป” ต้องเปลี่ยนจาก “ครู” เป็น “วิทยากรกระบวนการ” ที่ไม่ใช่เพียงการสอนในหนังสือ แต่เป็นผู้อำนวยความสะดวกและส่งเสริมให้เด็กเกิดสถานการณ์แห่งการเรียนรู้ที่สอดคล้องตามความต้องการของเด็ก
“โดยเฉพาะ “การอ่าน” ที่เป็นทักษะซึ่งต้องใช้ตลอดชีวิตนั้น นักวิจัยชาวอเมริกันได้เปรียบเทียบว่า เด็กใช้เวลาเรียนรู้ทักษะการอ่านเฉลี่ยตลอดชีวิตเพียง 0.2% ขณะที่ทักษะนี้จะส่งผลระยะยาวต่อชีวิตที่เหลืออยู่มากถึง 98% สะท้อนให้เห็นว่า เด็กช่วงวัยประถมศึกษานั้นเป็นอีกช่วงเวลาที่สำคัญในการพัฒนาทักษะพื้นฐาน ขณะที่เด็กประถมไทยมีผลวิจัยชี้ชัดว่า กว่า 30% ไม่สามารถอ่านวิเคราะห์ได้ และค่าเฉลี่ยจะยิ่งสูงขึ้นสำหรับเด็กไทยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้”
“ปัจจุบันการเรียนการสอนยังเป็นระบบ 70:30 คือ เรียนในตำรา 70% และทำกิจกรรม 30% ฉะนั้นสำหรับโครงการเด็กประถมนั้น ก็น่าจะกระตุ้นให้สัดส่วนของกิจกรรมมากขึ้น ขณะเดียวกันครึ่งหนึ่งของการเรียนรู้ในตำราก็ต้องปรับให้สอดคล้องกับวัยเด็กประถม ที่ต้องเน้นการเล่นไปด้วยเรียนไปด้วย ซึ่งการประยุกต์ใช้นิวมีเดีย (new-media) กับเด็กก็น่าจะถือเป็นอีกช่องทาง ในการฉกฉวยโอกาสสร้างการเรียนรู้ ให้เป็นไปตามสิ่งที่เขาชอบ เช่น เด็กติดเกมส์ ติดอินเตอร์เน็ต ก็ใช้สื่อเหล่านี้สอนเด็ก เขาก็จะสนุกกับการเรียนการสอนมากขึ้น” รศ.ดร.สมพงษ์กล่าว
อ.นคร ตังคะพิภพ อดีตผู้เชี่ยวชาญพิเศษระดับ 10 เทียบเท่าตำแหน่งอธิบดี คนแรกของประเทศไทย กล่าวในฐานะเป็นหนึ่งในคณะผู้ติดตามโครงการส่งเสริมนวัตกรรมสร้างสรรค์การเรียนรู้ระดับมัธยมครั้งที่ 1/2553 ที่มีผู้ได้รับทุนรวม 226 โครงการ กล่าวว่า ถือเป็นโอกาสเพิ่มช่องทางให้ครูได้เริ่มคิดค้นกระบวนการเรียนการสอน เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ให้สอดคล้องต่อสภาพแวดล้อม และตามความต้องการของเด็ก
“จากเดิมที่เคยเรียนรู้แบบแห้ง และนิ่งจากตำราในห้องเรียน อาจทำให้เด็กรู้สึกไม่สนุกสนาน ก็เปลี่ยนเป็นกระตุ้นให้ครูได้เปิดกิจกรรมที่เคลื่อนไหว และตรงกับวิถีชีวิตและความต้องการนักเรียน ซึ่งจะช่วยสร้างแรงจูงใจในการเรียนได้มากขึ้น แม้การเปิดให้ทุนในระดับประถม จะเป็นกลุ่มโรงเรียนที่มีขนาดเล็กกว่า และมีบุคลากรจำนวนน้อยกว่าโรงเรียนระดับมัธยม แต่ถ้าสามารถสนับสนุนโรงเรียนประถมเดี่ยวๆ ให้รวมตัวกัน ก็จะทำให้เกิดการทำงานเป็นเครือข่ายโรงเรียน “พี่น้อง” ที่ร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเป็นพลังขับเคลื่อนการศึกษาจากภาคประชาสังคมได้อย่างแท้จริง” อ.นคร กล่าว
ด้าน น.ส.ประพาฬรัตน์ คชเสนา นักวิชาการ สสค.กล่าวถึงแนวคิดที่ต้องการให้ภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา เพื่อให้เด็กและเยาวชนค้นพบศักยภาพและความถนัดของตนเอง มีทักษะและสามารถพัฒนาตนเอง จนเป็นที่มาของโครงการส่งเสริมนวัตกรรมสร้างสรรค์การเรียนรู้ระดับประถมศึกษาครั้งที่ 1/2554 ในประเด็นสำคัญ คือ ต้องการส่งเสริมค่านิยมสำนึกรักท้องถิ่น ด้วยการสร้างหลักสูตร หรือกิจกรรมที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะครูท้องถิ่นจะมีกระบวนการสร้างการเรียนรู้อย่างไรให้เด็กรักท้องถิ่นตัวเอง
“วัยประถมศึกษา เป็นช่วงวัยที่สำคัญในการพัฒนาทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ในด้านต่างๆ รวมทั้ง ทักษะชีวิต และมีคุณลักษณะที่ดี เพื่อเตรียมพร้อมในการเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ และเจริญเติบโตเป็นพลเมืองที่ดีของสังคมและประเทศชาติต่อไป” น.ส.ประพาฬรัตน์ กล่าว
โดยหัวข้อการให้ทุนครั้งนี้ จะมุ่งเน้น 1.การพัฒนาสมรรถนะการอ่าน 2.การเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนรู้สึกสนุกและอยากเรียนรู้ไปพร้อมกัน และ 3.การเรียนรู้ที่พัฒนาคุณลักษณะที่ดีงามของผู้เรียน โดยแบ่งโครงการเป็น 2 ลักษณะคือ 1.โครงการเดี่ยว: ภายใต้เงินสนับสนุน 50,000 บาท 2.โครงการกลุ่ม: สนับสนุนให้เกิดการช่วยเหลือแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อสร้างเครือข่ายโรงเรียนพี่โรงเรียนน้อง ภายใต้เงินสนับสนุน 50,000-500,000 บาท ระยะเวลาดำเนินงานระหว่าง 8-12 เดือน โดยสามารถเริ่มโครงการภายในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2554”
สามารถดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ www.qlf.or.thและส่งใบสมัครได้ที่ primaryschool@qlf.or.th จนถึง 14 เมษายนนี้
โทรศัพท์ 02-619-1811 โทรสาร 02-619-1812 หรือส่งข้อเสนอโครงการได้ที่ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)
ตู้ ปณ. 34 ปณฝ. สนามเป้า กทม. 10406 วงเล็บมุมซอง: (เสนอโครงการ สสค.)
ที่มา: สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน