สวรส. โชว์‘เครื่องตรวจหาพาร์กินสัน’
ที่มา: เว็บไซต์แนวหน้า
แฟ้มภาพ
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)นำเสนอนวัตกรรมผลงานวิจัยทางการแพทย์ ภายใต้แนวคิด “25 ปี สวรส. สู่ระบบสุขภาพไทยในอนาคต” ในงานประชุมวิชาการและมหกรรมการแสดงผลงาน 100 ปี การสาธารณสุขไทย เมื่อวันที่ 18-20 ก.ค. 2561 ณ ศูนย์การประชุม อิมแพค เมืองทองธานี
นพ.นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่า ภารกิจของ สวรส. ในอีกบทบาทหนึ่งนอกเหนือไปจากการบริหารจัดการงานวิจัยแล้ว การผลักดันให้งานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์สาธารณสุข ทั้งนี้ การนำเสนอนวัตกรรมผลงานวิจัยทางการแพทย์ภายในงานประชุมวิชาการและมหกรรมการแสดงผลงาน 100 ปี การสาธารณสุขไทย ส่วนใหญ่เป็นนวัตกรรมเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น เครื่องมือช่วยวินิจฉัยและติดตามรักษาผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน แอพพลิเคชั่นบนอุปกรณ์พกพาเพื่อส่งเสริมและพัฒนาการเด็กไทย เครื่องมือคัดกรองไมโครแอลบูมินนูเรียด้วยระบบคะแนนเพื่อผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 วัสดุปิดแผลไฟโบรอินผสมวุ้นว่านหางจระเข้เพื่อผู้ป่วยเบาหวาน ฯลฯ
ศ.นพ.รุ่งโรจน์ พิทยศิริ นักวิจัยเครือข่ายสวรส. สังกัดศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์โรคพาร์กินสันและกลุ่มความเคลื่อนไหวผิดปกติแห่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ หัวหน้าโครงการวิจัยการพัฒนาเครื่องมือช่วยวินิจฉัย คัดกรองและติดตามการรักษาผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน กล่าวว่า“พาร์กินสัน” เป็นโรคความเสื่อมของระบบประสาทที่พบได้มากกว่าร้อยละ 50 ในผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ในกลุ่มโรคความเคลื่อนไหวผิดปกติ ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุของโรคอย่างชัดเจน ปัจจุบันการวินิจฉัยโรคจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของแพทย์ผู้ตรวจรักษา โดยมีการตรวจประเมินทางคลินิกร่วมกับการใช้แบบประเมินอาการที่เรียกว่า Unified Parkinson’s Disease Rating Scale (UPDRS) ที่ใช้ได้กับผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมแล้วเท่านั้น ทำให้ UPDRS ถูกจำกัดใช้อยู่ในโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์ ทั้งยังพบว่ามีความคลาดเคลื่อนจากการให้คะแนนที่ไม่ตรงกันของผู้ประเมินอีกด้วย
ศ.นพ.รุ่งโรจน์ อธิบายว่า โรคพาร์กินสันนั้นมีอาการสั่นที่จำเพาะ ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาเครื่องมือในการตรวจวัดและวิเคราะห์อาการสั่นของผู้ป่วยโรคพาร์กินสันขึ้น ประกอบด้วยชุดสัญญาณการเคลื่อนไหวที่สามารถบันทึก วิเคราะห์ แสดงผลสัญญาณในเชิงเวลา ความถี่การสั่น และค่าการสั่นในแกนต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ใช้งานได้ง่ายทำได้โดยบุคลากรทางการแพทย์โดยทั่วไป ที่อาจไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ และใช้เวลาการตรวจเสร็จภายใน10 นาที และมีความปลอดภัยกับผู้ใช้ สำหรับผลจากการทดสอบเครื่องมือ พบว่า สามารถใช้ประเมินลักษณะอาการสั่นได้อย่างแม่นยำ สามารถช่วยแพทย์ผู้ทำการรักษาประเมินว่าอาการสั่นของผู้ป่วยนั้นมีความเป็นไปได้มากน้อยเท่าไหร่ และยังใช้ประเมินอาการทางการเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ ร่วมกับแบบประเมินมาตรฐาน UPDRS ได้อีกด้วย ช่วยลดความคลาดเคลื่อนของการให้คะแนน โดยการตรวจวัดให้ผลถูกต้อง รวดเร็ว ช่วยให้การวินิจฉัยมีความแม่นยำขึ้น และไม่ทำให้หลงทางในการรักษา ทั้งนี้ เครื่องมือดังกล่าวได้มีการจดสิทธิบัตรในชื่อ “ระบบคัดแยกโรคการเคลื่อนไหวผิดปกติจากอาการสั่น”
ทางด้าน ศ.ดร.รวี เถียรไพศาล เครือข่ายนักวิจัย สวรส. สังกัดคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์หัวหน้าโครงการวิจัยประเมินผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกเพื่อป้องกันฟันผุเด็กเล็ก เผยว่า ปัญหาการมีฟันผุตั้งแต่วัยเด็กทำให้เสี่ยงต่อการเกิดฟันผุและมีผลต่อเนื่องถึงฟันแท้ กลายเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจตามมา ทั้งนี้งานวิจัยดังกล่าวเป็นการต่อยอดการศึกษา ติดตามผลของนมผงโพรไบโอติก Lactobacillusparacasei SD1 ป้องกันฟันผุในกลุ่มเด็กเล็กที่ยังไม่มีฟันผุหรือมีฟันผุเริ่มแรก โดยหาความถี่และระยะเวลาที่เหมาะสมในการรับนมผสมโพรไบโอติกเพื่อป้องกันฟันผุได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ผลการศึกษาพบว่า การได้รับนมผงโพรไบโอติกมีผลในการป้องกันฟันผุเริ่มแรก คือ กลุ่มที่ได้นมโพรไบโอติก แบบต่อเนื่อง และกลุ่มที่ได้รับ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ มีอัตราในการเกิดฟันผุใหม่และฟันผุลุกลามที่เคลือบฟันน้อยกว่ากลุ่มที่ได้นมไม่มีโพรไบโอติก ซึ่งการชะลอการเกิดฟันผุใหม่และการยับยั้งฟันผุลุกลาม ทำให้ฟันผุเริ่มแรกเปลี่ยนไปเป็นฟันปกติได้ ดังนั้นการได้รับนมโพรไบโอติกเพียง 3 วันต่อสัปดาห์ มีความเพียงพอในการป้องกันฟันผุได้ปัจจุบันโพรไบโอติกชนิด Lactobacillus paracasei SD1 ได้ผ่านการทดสอบแล้วว่าสามารถป้องกันฟันผุได้ และมีการอนุญาตให้ใช้สิทธิเทคโนโลยี โพรไบโอติกสายพันธุ์ Lactobacillus paracasei SD1 แก่ บริษัท เกร็ทเตอร์ฟาร์ม่า จำกัด และอนุญาตให้ใช้สิทธิเทคโนโลยี Lactobacillus rhamnosusSD11 แก่ บริษัท แดรี่โฮม จำกัด เพื่อผลิตขายภายในประเทศ”
นพ.สมัย ศิริทองถาวร นักวิจัยเครือข่ายสวรส. สังกัดกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุขหัวหน้าโครงการพัฒนาเครื่องมือวินิจฉัยภาวะออทิสซึมในระยะเริ่มแรกสำหรับเด็กไทย กล่าวว่างานวิจัยชิ้นนี้จึงได้พัฒนาเครื่องมือประเมินเพื่อช่วยในการวินิจฉัยภาวะออทิสซึมในระยะเริ่มต้นของเด็กไทย โดยนำผลในการประเมินทางพฤติกรรมด้านการสื่อสาร ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การเล่น และพฤติกรรมซ้ำๆ กับผลการสังเกตของผู้ปกครองด้านพัฒนาการและพฤติกรรมของเด็ก มาใช้ร่วมกับการวินิจฉัยของแพทย์ ซึ่งทำให้การวินิจฉัยแม่นยำ และรวดเร็วขึ้น ส่งผลดีเพื่อการบำบัดรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ปัจจุบันเครื่องมือนี้สามารถเชื่อมต่อกับเครื่องมือในระบบคัดกรองพัฒนาการเด็กของกระทรวงสาธารณสุข และผ่านการทดสอบประสิทธิผลในการนำไปใช้ในพื้นที่จริง เทียบเคียงได้กับเครื่องมือในระดับนานาชาติ โดยมีราคาถูกกว่าเครื่องมือที่นำเข้าจากต่างประเทศ ที่สำคัญเป็นลิขสิทธิ์ของประเทศไทยจึงสามารถขยายผล และบุคลากรทางด้านจิตเวชเด็กสามารถนำไปใช้ได้โดยไม่ติดเงื่อนไขลิขสิทธิ์ทางปัญญา
นอกจากนี้ สวรส. ยังมีการแสดงผลงานวิจัยอื่นๆ อีกมากมายภายในงาน โดยมีบุคลากรสาธารณสุข ตลอดจนประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจและเข้าร่วมเป็นสมาชิกคลังข้อมูลระบบสุขภาพของ สวรส.