สวดมนต์สร้างปัญญาฯ ค่านิยมใหม่สังคมไทย

เรียกได้ว่าจัดงานเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง สำหรับ “โครงการสวดมนต์สร้างปัญญา พัฒนาสุขภาวะ” ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)


สวดมนต์สร้างปัญญาฯ ค่านิยมใหม่สังคมไทย thaihealth


โดยเมื่อไม่นานมานี้ เครือข่ายประชาคมสร้างเสริมสุขภาวะ(คปสส.) และสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า(สคล.) ได้จัดเวที “แลกเปลี่ยนประสบการณ์โครงการสวดมนต์ สร้างปัญญา พัฒนาสุขภาวะ ระดับประเทศ ครั้งที่ 1”  ณ วัดปัญญานันทาราม ต.คลองหก อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี มีกลุ่มผู้จัดกิจกรรมสวดมนต์ภาวนาข้ามปี 140 คน ในโครงการสวดมนต์สร้างปัญญา พัฒนาสุขภาวะ 3 กลุ่มหลัก 3 ศาสนา คือ พุทธ(สวดมนต์ภาวนา) คริสต์(มิสซา) อิสลาม(ละหมาด) ร่วมกิจกรรม


นายประญัติ เกรัมย์ ผู้จัดการโครงการฯ เล่าถึงการจัดงานว่า เวทีนี้เน้นการเปิดใจใช้ปัญญาเพื่อพัฒนาสุขภาวะทั้งกาย จิต สังคมให้กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน ในนามศาสนิกสัมพันธ์ คือ เพื่อเข้าใจศาสนาตนอย่างแจ่มแจ้ง เข้าใจศาสนาเพื่อนอย่างแจ่มชัด และสุดท้ายคือไม่หลงทุนนิยมติดการบริโภคที่ฟุ่มเฟือย


“การจัดเวทีฯ ครั้งนี้ เป็นเสมือนการเชิญชวนให้เพื่อนศาสนิกในศาสนาคริสต์และอิสลาม ได้ร่วมกิจกรรมและสังเกตการณ์กระบวนการสวดมนต์ และหลักคิดตามแบบพุทธศาสนา โดยครั้งต่อไป จะจัดเวทีแลกเปลี่ยนฯ ในศาสนาสถานของศาสนาคริสต์และอิสลามตามความเหมาะสมต่อไป” นายประญัติ เกรัมย์ กล่าว


ทั้งนี้ เริ่มต้นงาน ด้วยการภาวนา 3 ศาสนา และทบทวนลำดับโครงการสวดมนต์สร้างปัญญาพัฒนาสุขภาวะที่ผ่านมาทั้งโครงการฯ พร้อมให้ผู้แทนแต่ละภาคนำเสนอกิจกรรมในโครงการฯ พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ 3 ข้อ คือ 1)ยกตัวอย่างกระบวนการสวดมนต์ที่ผ่านมา ที่ทำให้เกิดปัญญา 2)บอกเล่าว่าสนใจทำโครงการฯ ต่อหรือไม่ 3)ถ้าทำต่อจะทำอย่างไร ต้องการความช่วยเหลืออะไรบ้าง


สวดมนต์สร้างปัญญาฯ ค่านิยมใหม่สังคมไทย thaihealth


ด้าน พระครูศาสนกิจจาทร เจ้าอาวาสวัดสวนสมบูรณ์ อ.ละแม จ.ชุมพร กล่าวว่า หลังจบสวดมนต์ข้ามปี ได้จัดกิจกรรมสวดมนต์สร้างปัญญา ด้วยการเดินเท้าจากวัดสู่หมู่บ้าน จากหมู่บ้านสู่โรงเรียน จากโรงเรียนสู่วัด ใน 8 วัด 9 โรงเรียน


“อาตมาเห็นว่าพอไทยเปิดอาเซียน ลัทธิจะเข้ามาเยอะมาก ถ้าเราไม่รุก คนในวัดจะหายไป จึงจัดให้มีกิจกรรมพิเศษขึ้น โดยจะให้ทุนการศึกษาแก่เด็กตามเนื้อหาหลักสูตรที่วางไว้ รวมถึงให้ทุนแก่ครูและครอบครัวที่ร่วมกิจกรรมไหว้พระด้วย เขาจะได้ไหว้พระเป็น เพราะถ้าเราไม่สร้างคนรุ่นใหม่ คนก็จะน้อยและหมดไปในที่สุด”


จากนั้น นายเรืองยศ ณ สิงห์บุรี จากทีมงานโครงการสวดมนต์สร้างปัญญาให้ภาคกลาง เล่าว่า ในปีนี้คือ หลายๆ วัด จัดกันเอง เด็กๆ ไปร่วมกิจกรรมด้วยตนเอง พอจบจากสวดมนต์ข้ามปี เราจึงออกแบบกิจกรรม “ปั่นจักรยานสร้างปัญญา” ด้วยการไปวัดสนทนาธรรมกับพระ กับบาทหลวง และโต๊ะครู พร้อมเรียนรู้ประวัติศาสตร์และหลักธรรม คุณธรรมต่างๆ ไว้สำหรับนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน


“นอกจากนี้ ยังมีการรวมกลุ่มเด็กๆ มาทำกิจกรรมวาดภาพสื่อธรรมะ สื่อชีวิตและอบายมุข ก่อนกิจกรรมเราจะมีการสวดมนต์และภาวนาเพื่อให้ใจนิ่ง นวัตกรรมเราคือ เรานำเอาศิลปะ ดนตรี กีฬา และสวดมนต์ มาผสมกันให้เกิดกิจกรรมการเรียนรู้สร้างปัญญาแบบของภาคกลาง ซึ่งได้รับคำชมและความสนใจเป็นอย่างมาก”


ด้าน นายเอ นพรัตน์ คณะทำงานโครงการสวดมนต์สร้างปัญญาพัฒนาสุขภาวะคาทอลิกไทย จากสำนักเลขาธิการกรรมาธิการฝ่ายสังคม สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทย เล่าถึงการทำงานที่ผ่านมาว่า คณะทำงานได้เรียนรู้กิจกรรมใหม่ๆ ในการดึงชุมชนเข้ามาใกล้ชิดและการทำให้วัด/โบสถ์เป็นศูนย์กลางการทำดี และเป็นศูนย์รวมจิตใจอีกครั้ง ชาวบ้านสนใจเข้ามาสวดมนต์มากขึ้น เริ่มมีเด็ก เยาวชนมากันเป็นครอบครัว ที่สำคัญคือผู้นำศาสนาในชุมชน “เปิด” และ “ปรับตัว” ในการสวดมนต์ไปจากเดิม ไม่ใช่จบแค่พิธีกรรม แต่มีการตั้งวง มีเวทีสนทนา ทำความเข้าใจและนำไปปฏิบัติในชีวิตได้ด้วย


ส่วน พระปลัดกิตติศักดิ์ รองเจ้าอาวาสวัดลานสัก ผู้แทนเครือข่ายประชาคมจังหวัดอุทัยธานี เล่าเพิ่มเติมว่า หลังสวดมนต์ข้ามปี มีการลงพื้นที่ไปในสถานศึกษาระดับเล็ก กลาง ใหญ่ รวม 8 จุด โดยเข้าไปรวมในชั่วโมงสวดมนต์ประจำสัปดาห์ เล่าอานิสงส์ และให้ธรรมะที่เด็กๆ สามารถนำไปใช้ต่อได้จริงๆ


“นี่คือสิ่งที่เราทำ มันออกดอกออกผลและเป็นประโยชน์มากกว่าสวดมนต์แค่ปีใหม่วันเดียวแล้วจบๆไป”


ด้านตัวแทนประชาคมภาคอีสานตอนล่าง นางกัญญานันท์ ตาทิพย์ เล่าว่า การเคลื่อนตัวของโครงการฯ นี้ มีกระบวนการเตรียมคน เข้าใจ และออกแบบการทำงานไว้เป็นอย่างดี โดยในงานกาชาดที่ผ่านมา ได้จัดให้มีกระบวนการสร้างสุขด้วยการสวดมนต์ข้ามคืนทุกคืน ส่งผลให้สถิติการเกิดอุบัติเหตุลดลง และเรายังเอากิจกรรมนี้ไปพ่วงกับนโยบาย ๙ ดีของจังหวัดด้วย มันทำให้หมู่บ้านศีล 5 มีการเคลื่อนไหวมากขึ้น ตัวชี้วัดเรื่องอบายมุขและความสุข มีรูปธรรมจับต้องได้


จากนั้น ปิดเวทีด้วยกิจกรรมภาวนา “ดอกไม้ในมือฉัน สู่ ดอกไม้ในใจเธอ” ให้แต่ละท่านหยิบดอกไม้ เพื่อนำไปแลกเปลี่ยนมอบให้กันและกัน เพื่อทำความรู้จักกับคนที่เราอยู่ด้วยทั้งวัน ในอันที่จะสานพลังเสริมเครือข่ายนักพัฒนานวัตกรรมสวดมนต์สร้างปัญญาให้แผ่ขยายมากขั้นไปในที่สุด


 


 


รายงานโดย คณะทำงานสวดมนต์สร้างปัญญาพัฒนาสุขภาวะ

Shares:
QR Code :
QR Code