สร้างสุขภาวะ เด็กที่มีความต้องการพิเศษ
ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข
แฟ้มภาพ
สสส.ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมสุขภาวะ สำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ เน้นการมีส่วนร่วมระหว่างชุมชน ผู้ปกครอง สถานศึกษา ในพื้นที่นำร่อง พร้อมถอดบทเรียนแนวปฏิบัติ เพื่อขยายผลไปยัง ร.ร.
วันที่ 6 ตุลาคม 2563 ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ นพ.วีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ รองประธานคนที่ 2 คณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นประธานเปิดเวทีสานพลังขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมสุขภาวะของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ภายใต้การดำเนินงานโครงการสร้างเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมสุขภาวะของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม อาทิ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) คณะกรรมการการอาชีวศึกษา กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และมูลนิธิออทิสติกไทยเพื่อร่วมกันเสนอแนวทางสร้างเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน ในการจัดการศึกษาตามขอบข่ายอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานและองค์กร
นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) สสส. กล่าวว่า สสส.ให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมสุขภาวะเด็กที่มีความต้องการพิเศษในบริบทการศึกษา ซึ่งหลายครั้งเด็กเหล่านี้ถูกละเลยอันเนื่องมาจากความบกพร่องที่มีอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษในวัยเรียนที่สามารถเข้าเรียนรวมได้ ประกอบด้วย 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 2) เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ 3) เด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรมและอารมณ์ และ 4) เด็กออทิสติก ซึ่งเป็นกลุ่มที่พบมากในสถานศึกษาและชุมชนทั่วไป
สำหรับปัญหาที่พบด้านการศึกษา ส่วนใหญ่เด็กที่มีความต้องการพิเศษไม่สามารถเรียนต่อในระบบการศึกษาได้ และอยู่นอกระบบการศึกษา เมื่ออยู่นอกระบบการศึกษาก็ไม่มีระบบส่งเสริมที่ช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างมีคุณภาพ ขณะเดียวกันการจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษยังต้องคำนึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีส่วนร่วมของครอบครัว และชุมชน ในการช่วยเตรียมความพร้อมหรือการช่วยเหลือตั้งแต่ระยะเริ่มแรก แต่รูปแบบการจัดการศึกษาดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจน
นางภรณี กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการนี้ สสส. สนับสนุนการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมสุขภาวะอย่างรอบด้าน ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคมและสติปัญญา ของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ โดยเน้นการมีส่วนร่วมระหว่างชุมชน ผู้ปกครอง และสถานศึกษา รวมทั้งเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ให้ร่วมกันดูแลและพัฒนาทักษะชีวิต เตรียมความพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในวัยผู้ใหญ่และการใช้ชีวิตในชุมชนและสังคมก่อให้เกิดพื้นที่/ชุมชนต้นแบบในการจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมสุขภาวะของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ บนฐานเครือข่ายการมีส่วนร่วม ใน 3 พื้นที่ กระจายอยู่ใน 3 ภูมิภาคของประเทศ
ได้แก่ อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ภาคเหนือ มีต้นทุนทางวิชาการของนักวิชาการในสถาบันอุดมศึกษาในจังหวัดและมีความเข้มแข็งด้านความร่วมมือของชุมชนในพื้นที่ อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ภาคกลาง มีความเข้มแข็งของผู้นำชุมชนและสถานศึกษาที่มีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ และอำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีความเข้มแข็งของเครือข่ายการทำงานระดับจังหวัดและพื้นที่ เชื่อมต่อและขยายผลต่อไป
ดร.พลรพี ทุมมาพันธ์ อาจารย์คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้รับผิดชอบโครงการ กล่าวว่า โครงการนี้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง/ผลกระทบที่น่าสนใจหลายประการ อาทิ 1) เครือข่ายความร่วมมือที่เข้ามาร่วมดำเนินงานในโครงการรับฟังเสียง และความต้องการของเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษมากขึ้น 2) มุมมอง/ทัศนคติของชุมชน หรือสังคมในพื้นที่ที่มีต่อเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษเป็นไปในเชิงบวก หรือการยอมรับในคุณค่าและความสามารถมากขึ้น 3) สถานศึกษาและครูปรับเปลี่ยนนโยบายการจัดการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ โดยเปิดโอกาสให้เด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ได้ทำกิจกรรมการเรียนรู้ได้เท่าเทียมกับเด็กปกติมากขึ้น 4) ภาคส่วนต่าง ๆ ในพื้นที่มีการประสานเชื่อมโยงกันในการรับ และส่งต่อเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษให้ได้รับบริการด้านต่าง ๆ เช่น บริการทางการศึกษาและการแพทย์ มากขึ้น
5) สถานศึกษาและชุมชนมีการขยายผลการดำเนินงานครอบคลุมไปยังเด็กกลุ่มอื่นในสถานศึกษาหรือพื้นที่เดียวกัน โดยไม่แบ่งแยก 6) หน่วยงานหรือชุมชนในพื้นที่ข้างเคียงมีความสนใจในการนำแนวคิด หรือแนวทางการดำเนินงานไปใช้ในการจัดการศึกษา เพื่อส่งเสริมสุขภาวะของเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่ดีในการสร้างเสริมสุขภาวะของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ให้เกิดเป็นแนวปฏิบัติที่ดีและขยายผลต่อไป