สร้างกิจกรรมทางกายกับความหนัก 3 ระดับ

ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้าสร้างกิจกรรมทางกายกับความหนัก 3 ระดับ thaihealth


แฟ้มภาพ


วัดใจ สสส.กับการสร้างสุขพลานามัยจากงานประชุมนานาชาติว่าด้วยการส่งเสริมกิจกรรมทางกายและสุขภาพ ครั้งที่ 6


ถ้าจะโฟกัสกันในเรื่องสุขพลานามัยของคนไทยแล้วต้องนับว่า เป็นโอกาสดี ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมนานาชาติว่าด้วยการส่งเสริมกิจกรรมทางกายและสุขภาพ ครั้งที่ 6 (The 6 th International Congress on Physical Activity and Health 2016 : ISPAH 2016 Congress) ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่การประชุมนี้ได้ถูกจัดขึ้นในเอเชียและประเทศไทย โดยสำนักงาน กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นแม่งาน มีกระทรวงสาธารณสุขและกทม.เป็นเจ้าภาพร่วม โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-19 พ.ย. 2559 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์


ความพิเศษของการประชุมนี้คือ มีผู้เชี่ยวชาญด้าน กิจกรรมทางกายระดับโลกเข้าร่วมประชุมกว่า 800 คน จากกว่า 80 ประเทศ ซึ่งจะมีบทคัดย่องานวิจัยส่งเข้าร่วมกว่า 600 เรื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจในสถานการณ์และความสำคัญของกิจกรรม ทางกายในระดับโลก ที่เราจะได้ทราบปัญหาสถานการณ์ และนำไปสู่การนำเสนอนโยบายกิจกรรมทางกายในระดับประเทศต่อไป


สร้างกิจกรรมทางกายกับความหนัก 3 ระดับ thaihealth


ศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ในฐานะประธานคณะกรรมการ จัดการประชุม ISPAH 2016 Congress ให้ความกระจ่างว่า นับวันปัญหาสาธารณสุขจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจาก พฤติกรรมของคนปัจจุบัน ที่กินอยู่ด้วยความเสี่ยง คือ พบว่า คนยุคนี้ ถูกตรึงไว้กับหน้าจอ จนเกิดพฤติกรรมเนือยนิ่ง แต่ละวันพบว่า คนจะใช้เวลาติดจอ 6-7 ชั่วโมง โดยรวมแล้วมีพฤติกรรมเนือยนิ่ง ถึง 13.42 ชั่วโมง


จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า ประชากรผู้ใหญ่ทั่วโลกประมาณ 1 ใน 4 ยังมีกิจกรรมทางกาย น้อยกว่า 30 นาทีต่อวัน ส่วนในเด็กที่ควรมีกิจกรรมทางกายอย่างน้อย 60 นาทีต่อวัน ก็พบว่าเด็กอายุ 12-13 ปี ยังมีกิจกรรมทางกายที่ไม่เพียงพอ ซึ่ง WHO คาดคะเนว่า ถ้าคนเรามีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ จะเป็นสาเหตุการเสียชีวิต ของประชากรโลกถึงร้อยละ 5.5 หรือประมาณ 3.2 ล้านรายต่อปี จากโรคหัวใจ ความดัน มะเร็ง เบาหวาน ซึ่งเป็นผลมาจาก ปัจจัยเสี่ยงจากพฤติกรรมของเราเองทั้งการบริโภคอาหาร ไม่เหมาะสม ความเครียดสะสม สิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ


คำว่า "กิจกรรมทางกาย" เป็นคำที่เริ่มรู้จักมากขึ้น เนื่องจากพบข้อมูลทางวิชาการ ซึ่งเป็นผลการวิจัยจากต่างประเทศพบว่า การอยู่นิ่งๆ เกิน 2 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นการนั่งดูทีวี. เรียนหนังสือ หรือ ทำงาน เป็นการเพิ่มโอกาสเสี่ยงให้เกิดโรคต่างๆ ซึ่งทางการแพทย์ยังพบว่าเป็นการเพิ่มโอกาสเสี่ยงเกิดโรคมะเร็งลำไส้อย่างชัดเจนอีกด้วย กิจกรรมทางกาย (Physical Activity)


จึงมีคำจำกัดความว่า คือ "การเคลื่อนไหวอะไรก็ได้ที่ใช้กล้ามเนื้อ มัดใหญ่" แบ่งได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับเบา, ระดับปานกลาง และ ระดับหนัก


ระดับเบา หมายถึง การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในชีวิต ประจำวัน เป็นระดับการเคลื่อนไหวน้อยมาก เช่น การยืน การนั่ง การเดินระยะทางสั้นๆ


ระดับปานกลาง หมายถึง การเคลื่อนไหวออกแรงที่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ มีความหนักและเหนื่อยในระดับเดียวกับการเดินเร็ว ขี่จักรยาน การทำงานบ้าน มีชีพจรเต้น th 120-150 ครั้ง ระหว่างที่เล่นยังสามารถพูดเป็นประโยคได้ และมีเหงื่อซึมๆ


ระดับหนัก หมายถึง การเคลื่อนไหวร่างกายที่มี การทำซ้ำและต่อเนื่อง โดยใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น การวิ่ง การเดินขึ้นบันได การออกกำลัง มีระดับชีพจร 150 ครั้งขึ้นไป จนทำให้หอบเหนื่อย และ พูดเป็นประโยคไม่ได้สำหรับความเหมาะสมในวัยและช่วงเวลาในการออกกำลังกาย มีการกำหนดไว้ว่า เด็ก อายุ 6-17 ปี ควรมีกิจกรรมทางกาย วันละ 60 นาที หรือ 420 นาที ต่อสัปดาห์ ผู้ใหญ่ อายุ 18-64 ปี ควรมีกิจกรรมทางกาย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือ กิจกรรมระดับเหนื่อยมาก 75 นาที และผู้สูงอายุ อายุเกินกว่า 64 ปี ควรมีกิจกรรมทางกาย 150 นาทีต่อสัปดาห์ควบคู่กับการฝึกการทรงตัว


ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริม วิถีชีวิตสุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) อธิบายถึงเป้าหมายในการลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ว่า การส่งเสริมกิจกรรมทางกาย ได้ถูกบรรจุอยู่ 1 ใน 9 ประเด็นที่ WHO ได้กำหนดเป็นเป้าหมายใหญ่ที่ทั้งโลกจะขับเคลื่อนไปร่วมกัน เพื่อให้ลดพฤติกรรมเนือยนิ่งลงให้ได้ ร้อยละ 10 ภายในปี 2025 หรืออีก 9 ปี ซึ่งแต่ละประเทศเริ่มมีนโยบายเรื่องการเพิ่มกิจกรรมทางกายขึ้น ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกที่ได้เริ่มกำหนดเป้าหมายการทำงานวาระนี้แล้วเช่นกัน ด้วยการผลักดันให้คนไทยมีกิจกรรม ทางกายที่เพียงพอ โดยตั้งเป้าหมายภายในปี 2564 คนไทยอายุ 11 ปี ขึ้นไป ต้องมีกิจกรรมทางกายไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 และภายในปี 2562 ลดความชุกของภาวะน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วนในเด็กให้น้อยกว่าร้อยละ 10


งานนี้ แม่งานอย่าง สสส. ต้องคำนึงถึงปัจจัยหลักในการ จะขับเคลื่อนกิจกรรมทางกายให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมเป็นอย่างมาก เพราะต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง พื้นฐานหลายอย่าง โดยเฉพาะการทำให้มีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม เพื่อให้คนหันมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง และคนรอบข้าง จึงจะทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในที่สุด

Shares:
QR Code :
QR Code