สรรค์สร้างเมืองดี๊ดี ทุกภาคส่วนต้องเดินหน้าร่วมกัน
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมมือกับศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (uddc) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนาเรื่อง เมืองสุขภาวะ ในงานสถาปนิค 56: a lesson on healthy cities from udck (japan) to uddc (thailand) “เมืองดี๊ดี บทเรียนการสร้างเมืองสุขภาวะจากญี่ปุ่นสู่ไทย” ขึ้น เพื่อส่งเสริมให้คนเมืองหันมาให้ความสำคัญเรื่องสุขภาวะที่ดีทั้งของตนเองและสังคมอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ด้วยมีเหตุและผลที่ว่า วิถีชีวิตสังคมเมืองในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะหันมองไปทางใด จะเห็นแต่ตึกรามบ้านช่องที่สูงเสียดฟ้า ถนนหนทางที่มีรถยนต์จอดแน่นิ่งแทบทุกเส้นทาง ผู้คนแออัด เดินเบียดเสียดกัน ทั้งยังเผชิญกับความเครียด ที่ต้องเร่งรีบ แข่งขันกันตลอดเวลา ส่งผลให้คนเมืองลืมนึกถึงสุขภาวะที่ดีทั้งร่างกาย จิตใจ และความเป็นอยู่ของตนเอง
การจัดเสวนาในครั้งนี้เป็นการถอดบทเรียนที่ดีจากประเทศญี่ปุ่นและภาคีเครือข่ายในไทยนำมาใช้ปรับเปลี่ยน และแก้ไขปัญหาสุขภาวะของสังคมเมืองภาคีด้านออกแบบผังเมืองถือว่า มีส่วนสำคัญเพื่อให้เกิดพื้นที่สุขภาวะ ที่ดีขึ้นให้กับประชาชนและสังคมเมือง
ลองมาฟังผู้ร่วมเสวนาระดับบิ๊กๆ ที่เขากล่าวไว้ในงานนี้กันดีกว่า เพื่อจะได้เกิดความตระหนักในจิตและวิญญาณแห่งความเป็นคนที่สมบูรณ์บนโลกใบนี้
ดร.วิลาสินี อดุลยานนท์ ผู้อำนวยการ สำนักรณรงค์และสื่อสารสาธารณะเพื่อสังคม กล่าวว่า ปัจจุบันสังคมเมืองกำลังเผชิญปัญหาเรื่องสุขภาพ ประชาชนเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ ทั้ง มะเร็ง เบาหวาน โรคอ้วน สสส. เป็นหน่วยงานที่ให้ความสำคัญ เรื่อง healthy space และ healthy city เพื่อเป็นเป้าหมายและแนวทาง สู่สุขภาวะที่ดีอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยที่ยืนยันว่า คนที่อยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่ดี จะมีสุขภาวะที่ดี มีอายุยืนยาวมากกว่าผู้ที่อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย
ดร.อัทซึชิ เดกุจิ หัวหน้าศูนย์ออกแบบเมืองคะชิวะ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว ผู้ผลักดันให้เกิดเมืองสุขภาวะที่ยั่งยืนขึ้นในญี่ปุ่น ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2547 มีหน้าที่บริหาร และออกแบบเมืองสุขภาวะที่ดีให้กับประชาชน โดยเกิดจากความร่วมมือทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคีเครือข่ายในการออกแบบชุมชน เน้นการปฏิบัติที่ประหยัดพลังงาน การฟื้นฟูและรักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชนเป็นสำคัญ เพื่อให้เป็นชุมชนต้นแบบ รวมถึงให้การสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมสุขภาวะของประชาชนในพื้นที่ให้เป็นไปอย่างยั่งยืน
ดร.พนิต ภู่จินดา หัวหน้าศูนย์วิจัยเมืองสุขภาวะ พูดถึงสภาพสังคมเมืองปัจจุบันว่า พื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ ที่เป็นพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพฯ มีไม่ถึง 10% ในขณะที่เมืองใหญ่อื่นๆ ในโลกมีประมาณ 30% สิ่งที่เราต้องร่วมมือกันสร้างสุขภาวะและสิ่งแวดล้อมให้มีความยั่งยืนได้นั้นคือ ภาครัฐและเอกชนต้องทำให้เมืองมีความกระชับและกะทัดรัดมากขึ้น จะปล่อยให้เมืองขยายตัวแนวราบ อย่างไร้ระเบียบและขีดจำกัด โดยไม่ได้วางแผนอย่างไม่ถูกต้องไม่ได้ ต้องมีการจัดการขยะมูลฝอยอย่างเหมาะสม โดยผ่านหลัก 3r (reduce, reuse, recycle) การส่งเสริมระบบขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและปลอดภัยเพื่อลดมลภาวะ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิรมล กุลศรีสมบัติ หัวหน้าศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง เพิ่มเติมว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองใหญ่ ที่แออัด มีการอพยพของคนเพิ่มมากขึ้น ต้องรองรับประชากร ที่เข้ามาอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ทำให้ กรุงเทพฯ มีพื้นที่สีเขียวต่ำกว่า 3 ตร.ม./คน ซึ่งต่ำกว่าระดับมาตรฐานของโลกอุปสรรคแรกของการพัฒนาฟื้นฟูคือ การขาดกลไกทางด้านสถาบันที่เป็นเหมือนคนกลางที่คอยประสานประโยชน์ของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย เข้าสู่กระบวนการวางแผนพัฒนาพื้นที่ การขาดกลไกในการเปิดโอกาสให้ภาครัฐ เอกชน หรือองค์กรในชุมชนดำเนินโครงการด้านการเงิน เพราะการพัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่ต้องใช้งบประมาณสูง การสื่อสารประชาสัมพันธ์ ให้คนในชุมชนเข้าใจ
“โครงการที่ทำอยู่และให้การสนับสนุนการปรับปรุงฟื้นฟูเมือง รวมถึงการขาดตัวอย่างที่ดี ในการสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการพัฒนา ฟื้นฟู พื้นที่ในกรุงเทพฯ ด้วยเหตุนี้เองเมืองจึงต้องมีการพัฒนา ใน 2 รูปแบบ คือ การพัฒนาแนวราบซึ่งอาจจะไม่ยั่งยืน เพราะเมืองจะเกิดการขยายตัวไปอย่างไร้ระเบียบ อีกรูปแบบคือ การพัฒนาแบบกระชับ หรือแนวตั้ง (compact city) เป็นการฟื้นฟู พัฒนา พื้นที่ใจกลางเมืองทั้งการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของเมืองเพื่อให้สะท้อนและตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงของประชากร สภาพเศรษฐกิจและสังคม อาจจะเป็นโครงการเล็กๆ ที่เกิดจากการร่วมมือกันของหน่วยงานภาครัฐ หรือเอกชน หรือช่วยกันของคนในชุมชน” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ กล่าว
นอกจากนี้ผู้ร่วมเสวนายังทิ้งท้ายว่า การมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนา ฟื้นฟูความเป็นอยู่ของสภาพแวดล้อม และสังคมเมืองอย่างยั่งยืน ต้องเกิดจากการร่วมมือของคนในชุมชน รวมถึงการปรับเปลี่ยนทัศนคติการดำเนินชีวิตที่พึ่งพิงและเป็นมิตรกับธรรมชาติมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางสัญจรด้วยการเดิน หรือขี่จักรยาน การใช้บริการขนส่งมวลชน อีกทั้งการอนุรักษ์ต้นไม้และรักษาพื้นที่สีเขียวให้อยู่คู่สังคมเมือง และร่วมมือ ร่วมใจ กันดูแลรักษาเมืองให้เป็นเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า