สรพ.ร่วม สสส.ชู “สร้างบริการด้วยใจ”

แก้ปัญหาคนไข้ร้องเรียนหมอ

 

  

 

            ขยายผลต้นแบบความสำเร็จโครงการ ‘sha’ สร้างบริการสุขภาพด้วยมิติจิตใจ ทำให้โรงพยาบาลมีทั้งมาตรฐานความปลอดภัย เชื่อมโยงชุมชน ลดช่องว่างผู้ให้-ผู้รับบริการ เพื่อป้องกันคนไข้ร้องเรียนหมอ

 

            วันที่ 15-17 ธ.ค. ที่โรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ ปาร์ค กรุงเทพฯ สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) โดยการสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดการประชุม sha conference & contest (sustainable health promotion and hospital accreditation) ภายใต้แนวคิดความงามและความหมาย นิยามใหม่ของงานคุณภาพ โดย นพ.มงคล ณ สงขลา กรรมการบริหาร สรพ., นพ.อนุวัฒน์ ศุภชุติกุล ผู้อำนวยการ(ผอ.)สรพ., นางดวงสมร บุญผดุง ผู้จัดการโครงการสร้างเสริมสุขภาพผ่านกระบวนการคุณภาพเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน (sha), นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ผอ.สำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ, นพ.ธันย์ สุภัทรพันธุ์ ผอ.โรงพยาบาลรามาธิบดี และ พญ.ชนิกา ตู้จินดา กรรมการกำกับทิศในโครงการ sha ร่วมแถลงข่าว “ha และ sha จะลดช่องว่างระหว่างผู้ให้บริการทางการแพทย์กับผู้รับบริการอย่างไร”

 

 

            นพ.อนุวัฒน์ กล่าวว่า sha เป็นการต่อยอดการพัฒนาคุณภาพในกระบวนการมาตรฐาน (ha) โดยใช้มิติทางจิตวิญญาณและศิลปะการทำงานเข้ามาเสริม ซึ่งสามารถช่วยแก้ปัญหากรณีร้องเรียนทางการแพทย์ได้ โดยเริ่มจากการเปลี่ยนมุมมองที่ไม่อยากพูดถึงความผิดพลาด เพราะคิดว่าเป็นการขุดคุ้ยกล่าวโทษกัน มามองเชิงบวกว่า การพูดคุยเรียนรู้จากความผิดพลาด นำไปสู่การออกแบบระบบที่อุดช่องโหว่ ด้วยวิธีทำงานที่รัดกุมขึ้น ทำให้เกิดความมั่นใจว่าผู้ป่วยก็จะได้รับบริการที่ปลอดภัย ผู้ให้บริการก็มีความสุข เพราะอยู่ในระบบที่ไม่สร้างปัญหา เป็นการผสมผสานระหว่างการวางระบบ กับการทำงานด้วยมิติจิตใจ

 

            “เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ทั้งหลาย มักเกิดจากระบบงานที่วางไม่เหมาะสม เราเรียนรู้และนำกลับมาป้องกันได้ อยู่ที่วิธีการมองและความคิดสร้างสรรค์ สามารถอุดช่องโหว่ได้” นพ.อนุวัฒน์ กล่าว

 

            ด้าน นางดวงสมร กล่าวว่า โครงการ sha ดำเนินการมาเป็นปีที่ 2 มีโรงพยาบาลเข้าร่วมทั้งหมด 124 แห่ง ความสำเร็จคือ คนทำงานมีความสุข และทำให้ระบบบริการมีคุณค่า มีความหมายต่อคนที่มารับบริการ นอกจากนี้ ยังดึงวัฒนธรรมเอื้ออาทร ที่เป็นพื้นฐานสังคมไทย และภูมิปัญญาชาวบ้าน มาเชื่อมต่อกับระบบบริการสุขภาพ ซึ่งมีรูปธรรมในโรงพยาบาลหลายแห่ง

 

 

ส่วน นพ.โกมาตร กล่าวว่า สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในระบบบริการสุขภาพได้แก่ 1.กฎเกณฑ์มากมาย โรคภัยไข้เจ็บซับซ้อนขึ้น คนป่วยมากขึ้น ทำให้คนทำงานมีภาระหนักขึ้น จึงต้องสร้างแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ด้วย 2.ปัจจุบันระบบการแพทย์มุ่งสร้างความชำนาญและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แต่ลืมมิติความเป็นมนุษย์ คนที่เข้ามาในโรงพยาบาลมีความทุกข์จากความเจ็บป่วยอยู่แล้ว ระบบงานที่มองเฉพาะเรื่องโรค จึงซ้ำเติมความทุกข์คนป่วย ข้อสรุปที่ชัดเจนคือ โรงพยาบาลรักษาแต่โรคไม่พอต้องรักษาคนด้วย 3.จุดอ่อนการประเมินคุณภาพคือเน้นเชิงปริมาณ ละเลยมิติเชิงคุณภาพ

 

            “sha เอามิติหลายเรื่องเข้ามาช่วย เช่น เจ้าหน้าที่ ฝึกที่จะฟังคนไข้มากขึ้น คนเป็นโรคเดียวกัน ยาอาจให้เหมือนกัน แต่รักษาไม่เหมือนกัน การแพทย์เป็นศิลปะการเยียวยา หรือเรื่องเล่าสร้างแรงบันดาลใจคนทำงาน ล้วนแต่ย้อนกลับมาทำให้มีมิติที่อ่อนโยนขึ้นในระบบบริการสุขภาพ” นพ.โกมาตร กล่าว

 

 

 

 

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

 

 

update : 17-12-53

อัพเดทเนื้อหาโดย :  ศิรินทิพย์ อิสาสะวิน