`สมุนไพร` รักษาเบาหวาน ห้ามกินต่อกันเกิน 7 วัน
สำนักการแพทย์พื้นบ้านไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เตือนผู้ใช้สมุนไพร ‘ปอปิด’ ไม่สามารถทดแทนยารักษาโรคเบาหวานได้ ไม่ควรกินติดต่อเกิน 7 วัน
นางเสาวณีย์ กุลสมบูรณ์ ผู้อำนวยการ สำนักการแพทย์พื้นบ้านไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีใช้สมุนไพร “ปอบิด”รักษาโรคเบาหวาน แต่พบว่าผู้ป่วยบางรายมีอาการไตวายว่า ตามตำราการแพทย์แผนไทย ปอบิดเป็นสมุนไพรที่มีสารสำคัญอยู่ที่ราก และเปลือกเป็นจำนวนมาก เมื่อทบทวนตำรายาในต่างประเทศ มีหลายประเทศนำมาใช้ เช่น อินเดียใช้รากผสมขมิ้นรักษาแผล อินโดนีเซียใช้รักษากระเพาะอาหาร พยาธิตัวตืด ประเทศแถบมลายู บำรุงสุขภาพเด็กแรกเกิด เป็นต้น
นางเสาวณีย์กล่าวว่า จากรายงานการวิจัยยังพบว่าปอบิดมีผลในการรักษาเบาหวาน สามารถลดน้ำตาลในหนูทดลองได้ แต่มีผลข้างเคียงสามารถทำลายตับหนูได้ และเกิดการกระตุ้นหัวใจในกบ โดยสมุนไพรดังกล่าวยังไม่มีงานวิจัยด้านพิษวิทยา แต่มีงานวิจัยด้านเภสัชศาสตร์
โดย รศ.รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าแม้ปอบิดจะมีผลลดน้ำตาลในเลือดได้ใกล้เคียงกับยาแผนปัจจุบัน แต่ยังไม่สามารถทดแทนยารักษาเบาหวานได้จริง และผู้ที่จะใช้ตรวจภาวะการทำงานของตับไตอย่างสม่ำเสมอทุก 3 เดือน และห้ามใช้ในผู้ที่มีประวัติ หรือแม้แต่ครอบครัวมีประวัติเป็นโรคตับหรือโรคไต
“ผู้ป่วยเบาหวานมักจะมีตับอ่อน ไต หัวใจ ไม่แข็งแรง และเสี่ยงเกิดโรคแทรกซ้อนหากดูแลสุขภาพไม่ดี ซึ่งหลักการใช้สมุนไพรเป็นยานั้นไม่ควรกินติดต่อกันเกิน 7 วัน เพราะปริมาณสารเคมีจากสมุนไพรควบคุมได้ยาก
ฉะนั้น หากจะใช้สมุนไพรรักษาโรคควรไม่กินต่อเนื่องหรือกินอาหารเป็นยาแทน เพราะปริมาณความเข้มข้นของสมุนไพรที่ได้จะมีความเข้มข้นต่างกัน เช่น กินผักแกล้ม หรือน้ำคั้น เช่น ใบกะเพรา ใบบัวบก ก็มีฤทธิ์ลดน้ำตาลได้เช่นกัน แต่ต้องใช้หลักการเดียวกันคือ สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่ให้เกิดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้” นางเสาวณีย์กล่าว
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน