สมัชชาศิลปิน ระดมความคิดศิลปะสร้างสรรค์สังคม
นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ประธานคณะกรรมการเครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป (คนกลางแถวที่ 2 นับจากบน) นางชมัยภร บางคมบาง ประธานอนุกรรมการเครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป ภาคกลาง (คนที่ 3 นับจากซ้าย แถวที่ 2 นับจากบน) ร่วมกับศิลปินด้านวรรณศิลป์ ทัศนศิลป์ คีตศิลป์ และศิลปการแสดงจากภาคกลางกว่า 50 คน ระดมความคิดเห็นเรื่อง “ศิลปะจะมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สังคมได้อย่างไร” ในงานประชุมสมัชชาเครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป (ภาคกลาง) ที่ชลพฤกษ์รีสอร์ท เมื่อวันที่16-17 ธันวาคม ที่ผ่านมา เพื่อหาข้อเสนอจากร่วมกันจากนั้นจะนำมาสรุปรวมกับภาคอีสาน ภาคใต้ และภาคเหนือ เพื่อเสนอในการประชุมสมัชชาระดับชาติในเดือนมีนาคม 2554 ต่อไป
ภายในงาน หลังจากการระดมความคิดเห็น ผู้ร่วมประชุมได้ชมวีดีทัศน์ “ทำไมต้องปฏิรูปประเทศไทย” จาก เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ต่อด้วย “ทิศทางการปฏิรูปประเทศไทย” โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี จากนั้น เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ประธานคณะกรรมการฯ กล่าวสรุปใจความว่า
“มีความเชื่อมั่นว่าเพื่อนศิลปินทุกคนทุกประเภททุกระดับมีพลังทางความคิดและการสร้างสรรค์ ถึงคำว่าปฏิรูปนี้บางคนฟังแล้วรู้สึกว่าโบราณคร่ำครึหรือบางคนคิดว่ากระเดียดไปทางเป็นเหยื่อของอำนาจรัฐ แต่ขอยกคำของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ที่พูดไปว่า เราไม่ใช่ไก่อยู่ในเข่งที่เขาจะจับไปฆ่าได้แน่ๆ พร้อมยกตัวอย่างมงคลสูตรที่มีความหมายว่า ไม่คบคนพาล คบแต่บัณฑิต และอีกข้อหนึ่งว่า ให้อยู่ในประเทศที่สมควร ซึ่งหมายถึง ประเทศที่ควรอยู่นั่นเอง
เพราะประเทศนี้มันไม่สมควรจะอยู่ พวกเราต้องร่วมมือกันปฏิรูปประเทศนี้ให้เป็นประเทศที่ คนสมควรจะอยู่ได้ นี่คือ หัวใจสำคัญของการปฏิรูป แม้เราอาจจะรังเกียจคำเพราะเป็นวาทกรรมที่ใช้มานานจนสนิมขึ้นแล้วก็ตาม แต่เราต้องร่วมกันทำให้ประเทศนี้สมควรจะอยู่”
ศิลปวัฒนธรรมนั้น เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยและสังคมโลก ยิ่งเป็นยุคสมัยนี้ยิ่งมีผลต่อความคิด เศรษฐกิจและสังคม ไม่เฉพาะโลกตะวันตกเท่านั้นที่มีอิทธิพลต่อวงการศิลปวัฒนธรรมบ้านเราแต่โลกตะวันออกอย่างเกาหลี ญี่ปุ่น และจีน ก็มีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าสังคมไทยยังขาดภูมิคุ้มกันและรู้เท่าไม่ทัน จะทำให้ขาดการวางรากฐานเชิงระบบ การพัฒนาเพื่อไปสู่ความยั่งยืนก็เกิดขึ้นไม่ได้
แม้จะมีหน่วยงานที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ปัญหาคือ การสื่อสารและการติดต่อที่ล่าช้าหรืออาจมองปัญหาคนละด้านกับศิลปินจึงมักเกิดปัญหาเรื่อยมา แต่ถ้าเป็นหน่วยงานของเอกชน ชุมชนและหน่วยงานอิสระจะมีความคล่องตัวมากกว่า แต่ปัญหาก็คือการขาดเงินทุนสนับสนุน จึงอยากให้เกิดการปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น แต่ก็มีปัญหาเพราะองค์กรอิสระที่ใหญ่ๆ มีพลังการขับเคลื่อนมากกว่าอาจขับเคลื่อน และผลักดันศิลปะที่เป็นสายทางของตัวเองให้เป็นกระแสหลักครอบงำองค์กรศิลปะที่เล็กลงมา
ฉะนั้น จึงอยากให้เกิดศูนย์กลางการส่งเสริมระหว่างผู้สร้างงานศิลปะทุกสาขามีกำหนดแผนงานร่วมกันเพื่อความสมดุลโดยที่ยังมีเอกลักษณ์ และมีอิสระในการสร้างสรรค์ผลงานของตนเอง จึงอยากให้มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานศิลปวัฒนธรรมภาคประชาชนขึ้น 5 แห่ง คือในภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคอีสาน และกรุงเทพมหานคร เป็นองค์กรอิสระที่รัฐบาลสนับสนุน และให้ศิลปินสาขาต่างๆ หมุนเวียนกันเป็นกรรมการบริหารใช้ชื่อว่า คณะกรรมการประสานงานศิลปวัฒนธรรมภาคประชาชนฯ มีหน้าที่รวบรวมผลงานจากเครือข่ายศิลปวัฒนธรรมจากภูมิภาคของตน และให้ทุกชุมชนจัดพื้นที่สาธารณะ เพื่องานศิลปวัฒนธรรมทุกชนิดให้เหมาะสมกับในแต่ละพื้นที่นั้นๆ
ที่มา: แผนงานทุนอุปถัมภ์เชิงรุกเพื่อสื่อศิลปวัฒนธรรมและกิจกรรมสร้างสรรค์
update : 13-01-54
อัพเดทเนื้อหาโดย : ศิรินทิพย์ อิสาสะวิน