สงกรานต์หยุดยาว หวั่นอุบัติเหตุซ้ำรอย

แนะตำรวจเข้มบังคับใช้พ.ร.บ.คุมเหล้า

 

สงกรานต์หยุดยาว หวั่นอุบัติเหตุซ้ำรอย 

มูลนิธิเมาไม่ขับ-สสส.  ชี้สงกรานต์นี้หยุดยาว 9 วัน หวั่นย้อนรอยอุบัติเหตุปีที่แล้ว นั่งนับศพ 373 รายตายเพราะเมาแล้วขับ  แถมเจ็บอีกเพียบ  แนะตำรวจเข้มบังคับใช้พ.ร.บ.คุมเหล้า อย่ารินั่งท้ายกระบะเล่นน้ำสงกรานต์   สิงห์มอเตอร์ไซค์งดดื่ม

 

นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวว่า สงกรานต์ปีนี้เป็นเทศกาลที่มีวันหยุดยาวติดต่อกันมากเป็นประวัติศาสตร์คือ 13-18 เม.ย. รวม 6 วัน แต่คาดว่าประชาชนจะเริ่มเดินทางกลับบ้านหรือท่องเที่ยวตั้งแต่คืนวันศุกร์ที่ 9 เม.ย. แม้วันจันทร์ที่ 12 เม.ย.53 รัฐบาลไม่ได้ประกาศให้เป็นวันหยุดราชการ แต่เชื่อว่าประชาชนจะหยุดกันเองเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง จึงทำให้วันสงกรานต์ปีนี้หยุดนานถึง 9 วัน ซึ่งอาจทำให้การเกิดอุบัติเหตุเพิ่มสูงขึ้นได้ เนื่องมาจากการเดินทางท่องเที่ยว การดื่มแอลกอฮอล์ฉลอง ขณะขับขี่รถจักรยานยนต์เล่นน้ำ และดื่มแอลกอฮอล์นั่งบนกระบะท้ายรถ

 

หากดูจากสถิติอุบัติเหตุเทศกาลสงกรานต์ปีที่ผ่านมา พบว่า ผู้ที่มีวันหยุดยาวเสียชีวิตมากถึง 373 คน บาดเจ็บ 4,332 คน ซึ่ง 81.90% เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ สาเหตุอันดับ 1 คือเมาแล้วขับ 40.66% ขับรถเร็ว 19.96% ขับรถตัดหน้ากระชั้นชิด 10.96%  ทั้งนี้ 59.92% เป็นผู้เสียชีวิตในวัยแรงงาน ซึ่งจัดเป็นกลุ่มที่เสียชีวิตมากที่สุดและเป็นกำลังสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทย นอกจากนี้จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดคือ เชียงใหม่ และกรุงเพทฯ นพ.แท้จริง กล่าว

               

นพ.แท้จริง กล่าวว่า เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้น มูลนิธิเมาไม่ขับ ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส. จึงเตือนไปยังประชาชนที่เดินทาง กลับภูมิลำเนา ช่วงวันหยุดยาว ควรระมัดระวัง ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ขณะเดินทาง ง่วงไม่ขับ และไม่นั่งท้ายรถกระบะเล่นน้ำสงกรานต์ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจควรเข้มงวดบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ถือเป็นการช่วยลดอุบัติเหตุในช่วงสงกรานต์ได้อย่างมาก ทั้งนี้ขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำกับดูแลความปลอดภัยให้ออกมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น เพื่อเตือนประชาชนร่วมกันเฝ้าระวังและช่วยลดปัญหาการเกิดอุบัติเหตุที่จะตามมา

 

 

 

 

 

ที่มา: สำนักข่าว สสส.

 

 

Update:09-04-53

อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่

 

Shares:
QR Code :
QR Code