‘ศิราณี สว่างอารมณ์’ ครูสอนเด็กพิการกับปาฏิหาริย์ที่มีจริง
“วิถีเด็กพิการสามารถเปลี่ยนแปลงได้ถ้ามีคนให้โอกาส” เป็นคำพูดสั้นๆ แต่กินความของศิราณี สว่างอารมณ์ ครูสอนเด็กพิการ จากศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นหนึ่งใน “ว่าที่ครูสอนดี” ที่ได้มีโอกาสอบรม “การใช้ ict เพื่อการเรียนรู้” ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)
ครูศิราณีกับปาฏิหาริย์ที่มีจริง เมื่อน.ส.สุนิสา ดาศรี นักเรียนวัย 18 ปียอมคุยด้วย จากเด็กไม่ยอมพูดจาเก็บตัว สามารถทำงานหาเลี้ยงตัวได้ พร้อมพัฒนาทักษะการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
ครูศิราณี เล่าว่า ด้วยความบังเอิญที่ตนตระเวณสอนนักเรียนนอกระบบ จึงได้เจอกับเด็กพิเศษ เด็กพิการในหลากหลายรูปแบบ ทั้งพิการทางด้านสติปัญญา พิการร่างกาย และพิการทางการยิน นับรวมได้ร่วม 40 คน อายุระหว่าง 11-58 ปี ซึ่งตอนนี้มีเพื่อนครูช่วยสอนสลับกันอยู่สองคน
“เรามีการสอนกัน 2 แบบ คือ การเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการดำรงชีวิต ควบคู่ไปกับการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสติปัญญา เช่น การปลูกผัก การหัดทำไม้กวาด ทำพรมเช็ดเท้าที่เน้นการฝึกสมาธิ สำหรับ เด็กพิการทางสติปัญญาที่พอพัฒนาได้ โดยเราต้องคัดกรองเด็กก่อนว่า สามารถรับรู้ได้มากน้อยแค่ไหน คนไหนที่พอจะพัฒนาได้บ้าง เราก็รับเข้ามาพัฒนาต่อ ส่วนเด็กคนไหนที่สติปัญญาพอไหว แม้อายุมากเราก็จะพยายามให้เขาเรียนให้สูงที่สุด” ครูศิราณีคุยให้ฟังและว่าหนึ่งในแรงบันดาลใจในการสอนเด็กพิเศษแม้จะลำบาก กว่าสอนเด็กปกติ แต่ในฐานะครู เห็นเด็กอยากเรียนไม่ได้เรียนก็สงสารและเห็นใจจนทำให้ตัดสินใจทำงานก้าวเข้าสู่ปีที่ 5
“บังเอิญวันนั้นไปสอนเด็กพิการในตำบลตามปกติ ชาวบ้านก็บอกว่า มีเด็กอยู่คนหนึ่งพิการทางสติปัญญาอยู่แต่บ้าน ไม่ยอมพูดคุยกับใคร กับพ่อแม่ก็คุย 2-3 คำ ฟังรู้เรื่อง แต่ไม่กล้าเข้าสังคม ครูสังเกตดูอยู่พักหนึ่งก็เห็นเขามีสมาธิสั้น ไม่ค่อยอยู่นิ่ง แต่เมื่อครูเข้าไปเขาก็มานั่งฟังครูคุยกับผู้ปกครองของเขาอยู่ห่างๆ เราก็คิดว่า “ลองดูหน่อยก็แล้วกัน” เพราะอย่างน้อยการที่มีคนอื่นเข้ามาอยู่ในบ้านแล้ว เขาก็ไม่หลบหน้าก็นับว่าน่าจะพัฒนาอะไรได้บ้าง”
จนกระทั่งผ่านไป 6 เดือน “ปาฏิหารย์ย่อมมีจริง” ครูกำลังจะกลับบ้านแต่เด็กคนนี้เพิ่งจะพูดกับครูเป็นประโยคแรกในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาว่า “ครูอย่าเพิ่งกลับได้ไหม หนูทำต่อไม่ได้” ผู้ปกครองดีใจมากที่ลูกยอมพูดกับคนอื่นๆ และมีความเชื่อมั่นว่าลูกของตนนั้นพัฒนาได้เพียงแต่ต้องให้เวลาและโอกาส” ครูศิราณีเล่าอย่างเชื่อมั่น และเปรียบเทียบวิถีของเด็กพิการและความเป็นครูได้อย่างน่าฟังผ่านทางเฟสบุ๊คส่วนตัวว่า
วิถีชีวิตของคนพิการสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าทุกคนทั่วไปในสังคมให้โอกาส และเรียนรู้เรื่องคนพิการ มีเจตคติเชิงสร้างสรรค์ต่อคนพิการ ยอมรับในศักยภาพของคนพิการ ส่งเสริมคนพิการให้ได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพ และสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ อย่างสอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษของคนพิการแต่ละคน พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้คนพิการได้ดำรงชีวิตในสังคมอย่างเท่าเทียมกับเหมือนกับคนทั่วไป
“เด็กพิการส่วนใหญ่พลาดโอกาสในการพัฒนา แต่สิ่งที่มนุษย์เราทุกคนมีความต้องการเหมือนกันคือต้องการความรัก ความเอาใจใส่และเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกสังคม มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ครูจึงได้นำเด็กคนนี้มาทำกิจกรรมกลุ่มร่วมกับเพื่อนๆ ที่พิการด้วยกัน”
ส่วนวิถีชีวิตความเป็นครูนั้น ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่ได้ได้เดินบนถนนคอนกรีต แต่ครูจะต้องออกไปสอนคนพิการในพื้นที่ห่างไกลจากชุมชน บ้างก็เสี่ยงต่อความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ต้องเดินทางผ่านทุ่งนาบ้าง ไร่อ้อยที่มีป่าอ้อยสูงและไม่มีบ้านคนที่ใกล้เคียง แต่อุปสรรคเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้ครูท้อถอย เพราะที่ๆ ครูจะไปนั้นยังมีเด็กพิการที่รอคอยครูของพวกเขาอยู่ด้วยใจจดจ่อว่า “วันนี้ครูจะมาหาพวกเขาหรือเปล่า”
สิ่งเหล่านี้อาจตีค่าเป็นเงินทองไม่ได้ แต่มันก็แรงบันดาลใจที่ทำให้ครูผู้สอนเกิดกำลังใจหายเหนื่อย และทำให้ได้ข้อคิดเพิ่มขึ้นที่ว่าในสังคมไทยว่า “ยังมีเด็กเยาวชนอีกหลายคนที่มีความเพียบพร้อมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง ฐานะความเป็นอยู่และโอกาส แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ยังไม่สนใจเรียนทิ้งโอกาสที่ดีที่สุดของชีวิตไป แต่กับเด็กอีกกลุ่มหนึ่งที่มีร่างกายไม่ครบ 32 แค่เขาเกิดมาก็ใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากอยู่แล้ว แต่ใจกลับสู้ อยากเรียนหนังสือ อยากได้รับโอกาสที่ดี ๆ เหมือนกับเขาบ้าง เพียงแต่ก็ไม่เคยมีใครหยิบยื่นให้เพียงเพราะคำจำกัดความว่า “คนพิการ”
ดังนั้นการที่มีคนเข้าใจและเอื้อมมือเข้ามาช่วยเหลือ “จึงเปรียบเสมือนเขาอยู่ในโลกที่มืดแล้วเราก็เป็นคนที่จุดเทียนแล้วส่งให้เขา” ถ้าคนในสังคมจุดเทียนต่อๆ ไปคนละเล่มโลกก็จะสว่างไปเอง
ที่มา: สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน