ศวช.-สสส. ผุดโครงการเด็ด หวังดึงเด็กใกล้ธรรมะ
นำร่อง 80 วัดทั่วประเทศ ชวนเข้าวัดทุกวันอาทิตย์ ชีวิตเป็นสุข
สังคมไทยในอดีต มีวัดเป็นศูนย์รวมจิตใจที่สำคัญของคนในชุมชน และการเข้าวัดทำบุญก็ถือเป็นกิจกรรมที่ครอบครัวนิยมทำร่วมกันอีก แต่เพราะสิ่งแวดล้อมรอบตัวในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ครอบครัวไทยห่างไกลจากวัดวาอาราม และมีสิ่งล่อใจมากมาย เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เดินห้าง เที่ยวผับเที่ยวบาร์ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ถูกเลือกจากคนในสังคมมากกว่าการใกล้ชิดกับศาสนา
เมื่อครอบครัวที่เป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิตห่างเหินจากพุทธศาสนา ส่งผลให้เด็กและเยาวชนดำเนินรอยตามไปด้วย โครงการวัดเป็นศูนย์กลางสร้างสุขของชุมชน (วศช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว จึงผุดโครงการ “สนับสนุนวัดเป็นศูนย์กลางสร้างสุของชุมชน” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมพัฒนาวิถีชีวิตแบบชาวพุทธ โดยเน้นกิจกรรมที่สามารถดึงดูดประชาชนทุกกลุ่มอายุให้เข้าวัดทุกวันอาทิตย์ เพื่อสร้างกลไกการร่วมมือในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างวัด
พญ.ผกา วราชิต ผู้จัดการ วศช. เล่าว่า เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เครือข่ายครอบครัวได้ทำการสำรวจในหัวข้อ “พุทธศาสนิกชนกับการทำกิจกรรมทางศาสนา” พบว่า กิจกรรมทางศาสนาที่ทำร่วมกันมากที่สุดคือ ตักบาตร 57.5% มีโอกาสฟังธรรมเพียง 8.2% เท่านั้น นั่งวิปัสสนา 3.2% เมื่อถามถึงความถี่ของการทำกิจกรรมทางศาสนา 42.7% ทำเพียงเดือนละครั้งเดียว, รองลงมา 30.3% แล้วแต่โอกาส, 11.2% ทำ 3 เดือนครั้ง, 8.8% ทำ 6 เดือนครั้ง, อีก 7.1% ทำปีละครั้ง ซึ่งกิจกรรมที่อยากให้มีในวัดหรือสถานที่เรียนรู้ทางศาสนา คือ 1.มีพระมาบรรยายธรรม 2.มีกิจกรรมสำหรับครอบครัว 3.มีห้องสมุดธรรมะให้คนทั่วไปมาศึกษา
“จากการสำรวจสะท้อนความจริงว่าในขณะนี้พุทธศาสนิกชนห่างวัด ไกลศาสนา จะเข้าวัดเมื่อมีประเพณีสำคัญเท่านั้น บางคนอาจเข้าวัดบ่อยที่สุดเพราะไปงานศพ ดังนั้น เพื่อส่งเสริมให้วัดกลับมาเป็นศูนย์กลางสร้างสุข โดยอาศัยพระธรรมช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้สงบสุขและมีสติปัญญา ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งในวันที่สังคมมีแต่ความร้อนแรง ทั้งความแตกแยกทางการเมือง เศรษฐกิจที่ซบเซา ศาสนาจะช่วยเข้ามากล่อมเกลาจิตใจของคนให้สงบขึ้นได้” พญ.ผกา เล่าถึงปัญหาที่เกิดในสังคมปัจจุบัน
พญ.ผกา เล่าต่อว่า ทางผู้ดำเนินการ ได้เลือกวันอาทิตย์ เป็นวันที่จะจัดกิจกรรมขึ้น เพราะวันอาทิตย์เป็นวันหยุดของทุกคนในครอบครัว เป็นวันสะดวก ที่สำคัญวันอาทิตย์ยังถือเป็นครอบครัวอีกด้วย โดยวัดทั้ง 80 วัดจะจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา โดยเน้นกิจกรรมสำหรับเด็ก เนื่องจากเราต้องการปลูกฝังธรรมะให้กับเด็ก ๆ ได้รู้สึกว่า ธรรมะเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิต ที่ช่วยให้จิตใจสงบ มีสมาธิ ให้เขาเป็นคนคิดดี ปฏิบัติดี เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์ที่ดีต่อไปในอนาคต
“สำหรับกิจกรรมที่จะจัดขึ้น เป็นการนำกิจกรรมในวันพระ มาจัดในวันอาทิตย์ เริ่มตั้งแต่วันนี้ และสิ้นสุดโครงการในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 อาทิ การทำบุญตักบาตร ฟังธรรม สนับสนุนการอ่านพระไตรปิฎก การบวชเนกขัมมะบารมี ทำให้เข้าใจเรื่องของการทำบุญทำทาน รวมถึงการสอนพระพุทธศาสนาในวันอาทิตย์ การสอนดนตรีไทย และนาฏศิลป์” พญ.ผกา กล่าว
พญ.ผกา เล่าต่ออีกว่า การจัดโครงการในครั้งนี้ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมายุ 80 พรรษา โดยมีวัดร่วมโครงการ 80 วัดทั่วทุกภาค แบ่งออกเป็น ภาคเหนือ 20 วัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 21 วัด ภาคกลางและภาคตะวันออกรวม 23 วัด ภาคใต้ 16 วัด ซึ่งสามารถตรวจสอบรายชื่อวัดได้ที่ www.thaihealth.or.th
ด้านพระพรหมวชิรญาณ กรรมการมหาเถรสมาคม ในฐานะประธานอำนวยการโครงการวัดวิถีพุทธเฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า โครงการนี้คำขวัญคือ “เข้าวัดทุกวันอาทิตย์ ชีวิตเป็นสุข” วัดที่ร่วมโครงการจะได้ป้าย “วัดวิถีพุทธเฉลิมพระเกียรติ” หลักการคือวัดจัดกิจกรรมทุกวันอาทิตย์ในวัดตลอดทั้งวัน โดยวัดอาจร่วมมือกับชุมชนจัดกิจกรรมให้หลากหลาย เพื่อเด็กและเยาวชนเข้าร่วมได้ ต้องยอมรับว่าเยาวชนเข้าวัดน้อยลง ทางมหาเถรสมาคมก็เห็นความสำคัญเรื่องนี้ จึงมีมติสนับสนุนให้วัดจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อหาทางส่งเสริมให้เยาวชนเข้าวัดมากขึ้น
“วัดวิถีพุทธจะเน้นกิจกรรมหลัก 4 ข้อ 1.สงบร่มเย็น สะอาดตา สว่างใจ คือวัดสะอาด บรรยากาศสงบร่มรื่น 2.สืบต่อพระศาสนา ร่วมใจศึกษาพระไตรปิฎก สนับสนุนให้สาธุชนอ่านธรรมะ 3.บวชเนกขัมบารมี คือฝึกตนลดละกิเลส รักษาศีล 8 เป็นเวลา 1 วัน 1 คืน 4.พุทธอาสา สะสมบุญได้ ไม่ต้องใช้เงิน เน้นความเข้าใจที่ถูกว่า การทำบุญหรือทำความดีไม่ต้องใช้เงิน ทางโครงการฯ ได้จัดทำและมอบสมุดบันทึกพุทธอาสา ให้วัดแจกผู้เข้าร่วมกิจกรรมใช้เขียนบันทึกการทำบุญ ทำความดีของตนและในแต่ละเดือน วัดอาจจะประกาศรายชื่อเชิดชูยกย่องพุทธอาสาที่ทำความดีมากหลากหลายประการ เพื่อสร้างค่านิยมที่ถูกต้องในการยกย่องคนที่ความดี ไม่ใช่เงินทอง” พระพรหมวชิรญาณกล่าว
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นางสุวรรณา ทิมเครือจีน อายุ 54 ปี อาชีพค้าขาย กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทางวัดได้จัดให้มีกิจกรรมทางศาสนาสำหรับเด็ก ๆ และผู้ใหญ่ได้ร่วมกันทำในช่วงวันอาทิตย์ ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ช่วยให้เด็ก ๆ ได้รู้จักการทำบุญ เรียนรู้ที่จะเข้าวัด เป็นการปลูกฝังวัฒนธรรมอันดีงามที่สืบทอดมาอย่างยาวนานให้เด็กได้ซึมซับและมีจิตใจที่อ่อนโยนอีกด้วย
นางสำรวย สมาพันธ์ อายุ 45 อาชีพธุรกิจส่วนตัว กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่โครงการนี้จะเข้ามาช่วยให้เด็ก ๆ ใช้เวลาว่างอย่างเกิดประโยชน์ เพราะในปัจจุบันต้องยอมรับว่ามีสิ่งยั่วยุจำนวนมาก ทำให้ตนประสบปัญหาการติดเกมของลูกชาย และไม่รู้ว่าแก้ไขด้วยวิธีใด จึงคาดหวังว่าโครงการนี้จะช่วยให้ลูกชายได้ร่วมกิจกรรมที่ดี มีสังคมของเด็กที่เรียนรู้ธรรมะด้วยกัน ชักนำกันไปในทางที่ดี และได้ฝึกฝนตัวเองให้เป็นคนดี มีวินัยด้วย
วัด…ยังคงเป็นศูนย์กลางของชุมชน และมีต้นทุนทางสังคมสูง เพราะประชาชนส่วนใหญ่ยังคงมีความเชื่อ ความศรัทธาในการทำบุญ เคารพเชื่อถือพระสงฆ์ที่เป็นผู้สืบทอดศาสนา…หากปลูกฝังเยาวชนให้มีโอกาสใกล้ชิดกับพุทธศาสนามากขึ้น เชื่อว่า วัดที่ส่วนใหญ่มีแต่ผู้เฒ่าผู้แก่ ไม่นานคงเต็มไปด้วยพุทธศาสนิกทั้งรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่อย่างแน่นอน…
เรื่องโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์ Team content www.thaihealth.or.th
Update 26-08-51