วิถีใหม่สำคัญไม่แพ้โควิด สูญเสียบนถนนลดได้ชุมชนมีส่วน
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
แฟ้มภาพ
ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 สถานการณ์อุบัติเหตุบนถนนไทยที่ช่วงแรกดูเหมือนจะลดลงมาก แต่เมื่อมีการผ่อนคลายล็อกดาวน์ สถิติอุบัติเหตุก็เริ่มกลับมาสูงขึ้นเรื่อยๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงร่วมมือกันหาทางรณรงค์เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางถนน
เป็นเรื่อง "ตลกร้ายขำไม่ออก" กับคำกล่าวที่ว่า "เมื่อโควิดมาอุบัติเหตุ ทางถนนก็ซาไป..แต่เมื่อโควิดคลี่คลาย คนไทยก็เจ็บ-ตายบนถนนกันเป็นเบือเหมือนเดิม" โดยในปี 2563 ที่ผ่านมา สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกแรก ในขณะนั้นด้วยความเป็น โรคอุบัติใหม่ รัฐบาลจึงต้องใช้ "ยาแรง"ด้วยมาตรการ "ล็อกดาวน์ (อย่างเข้มข้น)" ทั่วประเทศ ตัดการเดินทาง ปิดกิจการต่างๆ เพื่อทำให้ประชาชนเคลื่อนย้ายเดินทางน้อยที่สุด ไปจนถึงการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตลอดช่วงครึ่งหลังของเดือนเม.ย. 2563 เพื่อตัดการรวมกลุ่มสังสรรค์
มาตรการทั้งหมดถูกใช้เพื่อควบคุมไม่ให้โรคระบาดกระจายเป็น วงกว้าง แต่ผลพลอยได้คือเมื่อคน เดินทางน้อยลง รวมถึงการดื่มเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ลดลง ปริมาณอุบัติเหตุบนท้องถนนก็เบาบางลงด้วย เห็นได้ จากข้อมูลของ "ThaiRAP" หรือ Thailand Road Assessment Programme ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
กับองค์กร International Road Assessment Programme (iRAP) ที่มี ภารกิจวิเคราะห์และประเมินผลความปลอดภัยของถนนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ในช่วงต้นเดือนมิ.ย. 2563 ThaiRAP ได้เผยแพร่ผลวิเคราะห์สถานการณ์อุบัติเหตุบนท้องถนน ของไทย ช่วงระหว่างรัฐบาลใช้มาตรการ ล็อกดาวน์ ลดกิจกรรมรวมกลุ่มและการเดินทางเพื่อสกัดการระบาดของไวรัสโควิด-19 กับช่วงที่เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ โดยระบุว่า
"..ตั้งแต่การประกาศสถานการณ์ ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร ตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. 2563 ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ นับเป็นเวลากว่า 2 เดือนแล้ว สถานการณ์อุบัติเหตุบนถนนไทยที่ช่วงแรกดูเหมือนจะลดลงมาก แต่เมื่อมีการผ่อนคลายล็อกดาวน์ สถิติอุบัติเหตุก็เริ่มกลับมาสูงขึ้นเรื่อยๆ อาทิ จำนวนผู้เสียชีวิต 840 คน ในเดือนเม.ย. 2563 เพิ่มขึ้นเป็น 1,005 คน ในเดือนพ.ค. 2563 (เพิ่มขึ้น 19.6%) ในขณะที่จำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บ 52,141 คน ในเดือนเม.ย. 2563 เพิ่มขึ้นเป็น 67,063 คน ในเดือนพ.ค. 2563 (เพิ่มขึ้น 28.6%)
นอกจากนี้ หากดูข้อมูล รายสัปดาห์ ก็จะพบชัดเจนว่าแนวโน้ม ความปลอดภัยทางถนนเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ และกำลังกลับคืนเข้าสู่ภาวะก่อนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั่วราชอาณาจักร ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในช่วงเดือนม.ค.-มี.ค. ที่ผ่านมา เรากำลังกลับสู่ Old Normal? 1 เดือนหลังล็อกดาวน์ จำนวน ผู้เสียชีวิต -41% จำนวนผู้บาดเจ็บ -40% จาก Baseline, 2 เดือนหลังล็อกดาวน์ จำนวนผู้เสียชีวิต -35% จำนวนผู้บาดเจ็บ -30% จาก Baseline ข้อมูลเปรียบเทียบกับ Baseline โดยใช้ค่ามัธยฐานของข้อมูลช่วง 1 เดือน ก่อน พ.ร.ก. ฉุกเฉิน (25 ก.พ. 2563-25 มี.ค. 2563).."
เมื่อช่วงต้นเดือนก.ย. 2564 ที่ผ่านมา มีการจัดเสวนาออนไลน์ ในหัวข้อ "ร่วมสร้างตำบลขับขี่ปลอดภัย ไปกับ หมออนามัยในสถานการณ์โควิด-19" โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สมาคมเครือข่ายหมออนามัยวิชาการ ซึ่ง รุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ ผู้อำนวยการ สำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยง สสส. กล่าวว่า จากข้อมูลบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พบมี ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน อยู่ประมาณ 20-60 รายต่อวัน หรือกว่า 2 หมื่นรายต่อปี
ซึ่งหากไม่ลดจำนวนผู้เสียชีวิตรายวัน จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศ ย่ำแย่ เพราะต้องดูแลค่าใช้จ่ายผู้เสียชีวิต ค่ารักษาพยาบาล ครอบครัวผู้สูญเสียเสาหลัก ล้วนเป็นปัญหาสุขภาวะ ดังนั้น ต้องหาวิธีป้องกันให้ได้ โดยในช่วงกลางปี 2563 ที่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 และใช้มาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงมาตรการงดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สามารถลดอุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขับได้ด้วย ในขณะที่ปลายปี 2563 เช่นกัน มีการยกเลิกการ ตั้งด่านตรวจเมาแล้วขับ ก็ทำให้การเกิดอุบัติเหตุเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ ปัจจุบันสถานการณ์การลดอุบัติเหตุทางท้องถนนมีแนวโน้มลดลง โดยปี 2563 มีผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 17,831 ราย หรือลดลงร้อยละ 10 จากปี 2562 ส่วนปี 2564 ข้อมูลถึงเดือนส.ค. เสียชีวิต 8,862 ราย โดยมีผู้เสียชีวิตเฉลี่ย 49 รายต่อวัน จากเดิม เฉลี่ยวันละ 60 ราย ส่วนหนึ่งมาจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่ง จากบทเรียน ข้างต้นทำให้เห็นว่า มาตรการที่ใช้ลดการระบาดของไวรัสโควิด-19 สามารถนำมาพิจารณาใช้ในการลดอุบัติเหตุทางถนนได้เช่นกัน อาทิ การลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการเพิ่มการตั้งด่านตรวจเมาแล้วขับ
"การป้องกันและลดอุบัติเหตุ ทางถนนจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องดำเนินการ ทั้งประเทศไม่ใช่ทำแค่ส่วนกลาง เพราะข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข ปี 2562 สรุปมี 283 อำเภอเสี่ยง หรือ ร้อยละ 32 ของอำเภอทั่งประเทศ มีการคำนวณคร่าวๆ ว่าหากดูแลได้ดี จะสามารถลดการบาดเจ็บจาก อุบัติเหตุได้ถึงร้อยละ 65 โดยอำเภอที่มีความเสี่ยงเสี่ยงส่วนใหญ่เป็นอำเภอเมือง เพราะที่มีพื้นที่กว้าง จึงทำให้ความเสี่ยงหลากหลายทั้งคน รถ ถนน การดำเนินการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุอาจทำได้ยาก" ผอ.สำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยง สสส. กล่าว
ขณะที่ บุญเรือง ขาวนวล รองคณบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะวิทยาการสุขภาพและการกีฬา มหาวิทยาลัยทักษิณ(วิทยาเขตพัทลุง) ซึ่งมีอีกบทบาทหนึ่งคือ "นายกสมาคมเครือข่ายหมออนามัยวิชาการ" กล่าวว่า หน้าที่ของเครือข่ายฯ คือการให้โจทย์และความรู้ทางวิชาการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนทำงาน สร้างโอกาส ซึ่งจากนี้การจัดการเรื่องสุขภาพจะอยู่ที่ชุมชน
โดยหากพูดถึงหมออนามัย ในชุมชนก็จะเป็นที่รู้จัก เป็นบุคคลที่ ชาวบ้านในชุมชนให้ความสำคัญ "หน้าที่ ของเครือข่ายหมออนามัย คือการ เป็นกระบอกเสียงให้ความรู้" สร้างการ ตื่นรู้ให้กับคนในชุมชนได้ตระหนักถึงการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยในชุมชน รวมทั้งการดูแลและป้องกันปัจจัยเสี่ยงในด้านต่างๆ เช่น เหล้า บุหรี่ อุบัติเหตุ และการป้องกันโรค ดังนั้นบทบาทของหมออนามัยถือเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนงานตำบลขับขี่ปลอดภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
"จะทำอย่างไรให้พลเมืองตื่นรู้ มาทำให้ชุมชนของตัวเองน่าอยู่ ปลอดภัย และมีความสุขกันทุกฝ่าย แม้จะมีอุปสรรคการทำงานบ้างแต่ประเมินแล้วคนให้คะแนนเกือบเต็ม 100 เพราะคนทำงานไม่มีท้อ แต่มีการปรับการทำงานให้เข้ากับสถานการณ์ โดยเฉพาะตอนนี้มีโควิดระบาดก็ปรับการทำงานให้เชื่อมโยง ครอบคลุมป้องกันโรค และการลดอุบัติเหตุทางถนนควบคู่กันไป"บุญเรือง กล่าว
จากภาคใต้ขึ้นมายังภาคกลาง ธนาธิป บุญญาคม นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ตำบลสระพัฒนา จ.นครปฐมกล่าวถึง "จุดเด่น" ของหมออนามัย ว่า "หมออนามัยมีความใกล้ชิดและ รู้จักพื้นที่ชุมชนของตนเอง" ทำให้สามารถขับเคลื่อนงานนโยบายกระทรวง ระดับประเทศ จังหวัด และระดับพื้นที่ ในเรื่องการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เรื่องโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง รวมถึงงานลดอุบัติเหตุทางท้องถนน
อีกทั้งยังขยายต่อการทำงานให้กับหมออนามัยรุ่นสู่รุ่น เรียกว่ายุทธศาสตร์ความดีต่อความดี เลือกจุดเสี่ยงแก้ปัญหาพื้นที่ และแก้ไขพฤติกรรมของคน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน จึงเข้าไปทำงานให้ความรู้ ในโรงเรียน จากเดิมทำงานแบบ จิตอาสาก็มีหน่วยงานเข้ามาสนับสนุน มากขึ้น รับลูกไปดำเนินการต่อทำให้งานป้องกันอุบัติเหตุเติบโต มีเจ้าภาพ ในชุมชน นับเป็นการฟอร์มทีมการทำงานเพื่อรองรับกับการสู้กับภัยสุขภาพต่างๆ ได้
ด้านภาคตะวันออก ดวงสมร ดวงใจ เจ้าพนักงานสาธารณสุขชำนาญงาน สำนักงานสาธารณสุข อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เปิดเผยว่า อ.อรัญประเทศ เป็น 1 ใน 3 อำเภอที่มีอุบัติเหตุและเสียชีวิตบนท้องถนนมากที่สุดใน จ.สระแก้ว จึงได้เข้าร่วมโครงการตำบลขับขี่ปลอดภัย ทำงานร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) คลองน้ำใส โดยเริ่มวิเคราะห์จุดเสี่ยงในพื้นที่ วิเคราะห์ปัญหาชุมชน และดูความพร้อมเดิมที่มีอยู่ ก่อนวางแผนแก้ปัญหา
"เริ่มจากจุดเสี่ยงในพื้นที่ ที่แก้ไขได้ง่ายก่อน แล้วดำเนินการแก้ไขโดยให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการ ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ หลัก เช่น แขวงการทาง ดูแล เรื่องถนนต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น การ นำยางรถยนต์เก่ามาทำแบริเออร์ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ หลังจากทำได้ 1 สัปดาห์ ช่วยชีวิตคนได้ 4 คน ขณะนี้มีการขยายการทำงานไปยังพื้นที่อื่นๆ มากขึ้น" ดวงสมร ระบุ
ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) อภิชาต เมืองไชย เจ้าพนักงานสาธารณสุขชำนาญการ รพ.สต.สาธารณสุข อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย กล่าวว่า ยังคงมีประชาชน ที่ติดโควิดและทยอยเดินทางกลับภูมิลำเนาทุกวัน จึงต้องทำทั้งเรื่องการดูแลผู้ติดเชื้อ ควบคุมป้องกันโรค การขับขี่ปลอดภัย ควบคู่กันไป โดยทางฝ่ายปกครองรัตนวาปีเลือกพื้นที่นี้ และประกาศเป็นพื้นที่ขับขี่ปลอดภัย เพื่อให้ประชาชนตระหนัก
"มีการอบรมนักเรียน ผลักดัน ขยายไปยังพื้นที่ต่างๆ เช่น ได้มีการจัดทำ พ.ร.บ.รถจักรยานยนต์ต่างตำบล โดยดำเนินการแล้ว ใน 2 ตำบล รอสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายจะขยายไปยังตำบลอื่นๆ มากขึ้น" อภิชาต กล่าว