วิชาพลเมือง…กุญแจแก้ปัญหาเยาวชนกระทำผิด
น่าเป็นห่วงเด็กยุคใหม่ ที่มีความสลับซับซ้อนรุนแรง ทั้งเรื่องชีวิต การทำร้ายร่างกาย ยาเสพติด เพราะ "พลเมืองดี" ไม่สามารถสร้างได้ภายในวันเดียว โดยเฉพาะ "การลงโทษ" เมื่อกระทำผิด ก็ไม่ใช่หนทางเดียวที่จะช่วยบ่มเพาะจิตสำนึกที่ดีให้กลับขึ้นมาได้
กรมพินิจและคุ้มครองเด็ก และเยาวชน กระทรวงยุติธรรม โดยการสนับสนุนของสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว สสส.ภายใต้โครงการยกระดับมาตรฐานงานยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชน จึงได้จัด ฝึกอบรมวิทยากรตัวคูณและเทคนิคการสอนงาน สำหรับพนักงานคุมประพฤติ เพื่อให้พนักงานคุมประพฤติที่เข้าร่วมอบรมได้มีความรู้ ความเข้าใจและสามารถนำเทคนิค และวิธีการสอนงานให้กับพนักงานคุมประพฤติ คนอื่นๆ พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายในการถ่ายทอดองค์ความรู้ในหน่วยงานส่วนภูมิภาคตลอดจนเป็นศูนย์กลางในการประสานงานจากหน่วยงาน ในส่วนกลาง
ภูมิพงศ์ ขุนฉนมฉ่ำ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบงานยุติธรรมเด็กและเยาวชน กล่าวว่า จากการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อการอบรมทักษะปฏิบัติงานจำแนกพนักงาน คุมประพฤติครั้งที่ 1 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเพื่อพัฒนาพนักงานคุมประพฤติที่ทำหน้าที่ด้านการจำแนกให้ใช้เครื่องมือแบบประเมินความเสี่ยง และความจำเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพใน 3 ด้าน คือ 1.ความรู้ 2.ทัศนคติและแรงจูงใจ และ3.ทักษะในการนำไปปฏิบัติหน้าที่สืบเสาะ และพินิจเด็กและเยาวชนที่ต้องหาว่ากระทำผิดซึ่งเป็นภารกิจหลักสำคัญของสถานพินิจ และคุ้มครองเด็กและเยาวชน พร้อมทั้งต้องเป็น ผู้ถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดที่ได้รับให้กับพนักงานคุมประพฤติคนอื่นๆ ด้วย ขณะเดียวกันยังเป็นการสร้างเครือข่ายในการสร้างองค์ความรู้ ความประพฤติ ในด้านการประเมินความผิด และความจำเป็นที่เป็นความรู้สำคัญในการประเมินผล ข้อเท็จจริง เพราะการประเมินที่ซื่อตรง แม่นยำ สอดคล้องตามบริบท สภาพปัญหา และความจำเป็นของเด็กจะทำให้ศาลใช้ดุลพินิจอย่างเหมาะสม ในการพิจารณาพิพากษาคดี
ขณะที่ ฐานิส ศรียะพันธ์ อธิบดีกรมพินิจ และคุ้มครองเด็กและเยาวชน กล่าวว่า การอบรมครั้งนี้เป็นการต่อยอดการอบรมพนักงาน คุมประพฤติเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ โดยเชื่อว่า จะช่วยตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ในการลดจำนวนเด็กและเยาวชน ทำให้พนักงานคุมประพฤติ ได้รับการบ่มเพาะให้มีมาตรฐานเดียวกันในการสืบเสาะข้อมูล โดยจัดทำข้อมูลเด็กเป็นรายบุคคล ซึ่งสามารถส่งแบบรายงานเพื่อ ให้ศาลพิจารณาคดีด้วยข้อมูลของเด็กที่ถูกต้อง ส่งผลให้ลดจำนวนเด็กของกรมพินิจลง เป็นการคืนความสุขให้กับเด็ก และเยาวชน ได้กลับไปอยู่ในอ้อมกอดของพ่อแม่ มีโอกาสศึกษาต่อ มีอาชีพต่อเนื่อง และลดงบประมาณของชาติ
ส่วนจำนวนเด็กและเยาวชนที่เหลือในกรมพินิจ คือ เด็กที่มีความสลับซับซ้อนซึ่งต้องอยู่ที่ศูนย์ฝึก เพราะเด็กเหล่านี้ต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม อย่างไรก็ตามขณะนี้เด็กในสถานพินิจมีจำนวนลดลงกว่าพันคนจากปีที่ผ่านมา ซึ่งจำนวนเด็ก และเยาวชนในคดีที่ถูกจับกุมเมื่อปี 2555 มีจำนวนทั้งสิ้น 34,276 คดี ปี 2554 จำนวน 35,049 คดี คิดเป็นร้อยละ 2.21 เปรียบเทียบจำนวนคดีเด็กและเยาวชนที่ถูกดำเนินคดีโดยสถานพินิจฯ ทั่วประเทศระหว่างปี 2554-2555
"น่าเป็นห่วงเด็กยุคใหม่ที่มีความสลับ ซับซ้อนรุนแรง ทั้งเรื่องชีวิต การทำร้ายร่างกาย ยาเสพติด กรมจึงได้ทำวิจัยการสร้างข้อมูลจำแนกใหม่ พร้อมทั้งทำวิจัยเชิงลึกร่วมกับ สสส.ที่เป็นหุ้นส่วนในการแก้ปัญหาเด็ก และเยาวชน มาร่วมสร้างเครื่องมือที่มีประโยชน์ ต่อการรับรู้และแก้ปัญหาเด็กทุกคน และเฉพาะรายบุคคล โดยใช้ระยะเวลา 2 ปี ซึ่ง ดำเนินการมาแล้ว 6 เดือน อีกทั้ง ขณะนี้มีการนำวิชาหน้าที่พลเมืองกลับมาบรรจุในหลักสูตรการเรียนการสอนใหม่เป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะการสร้างให้เด็กรู้หน้าที่เป็นคนดี มีคุณภาพได้จะต้องทำให้เด็กมี 3 สิ่งนี้ คือ วินัย ความรับผิดชอบ และจิตสาธารณะ ซึ่งสถานพินิจ คาดหวังไว้มาก และพยายามนำเข้าไปสู่โปรแกรมทุกหลักสูตรของการอบรมเด็กในสถานพินิจด้วยเช่นกัน" ฐานิส กล่าว
นอกจากนี้ในปี 2558 ประเทศไทยจะต้องรับศึกหนักจากการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งคนจะเลื่อนไหลเข้ามาในประเทศจำนวนมาก อีกทั้งการกระทำผิดต่อเด็ก และเยาวชนจะมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการเตรียม พร้อมเรื่องภาษา อาจจะต้องมีเรื่องสนธิสัญญาการโอนตัวเด็กและเยาวชน การสร้างสัมพันธภาพระหว่างประเทศ
ฉะนั้น การจัดฝึกอบรมพนักงานคุมประพฤติเพื่อเตรียมความพร้อมรับอาเซียนจะต้องได้พนักงานที่พร้อมในทุกๆ ด้าน และทำงานอย่างเต็มความสามารถ ไม่บกพร่อง และเป็นตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ที่จะฉายภาพ ต่อไปในอนาคต
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต