วิจัยน้ำเสียจากการผลิตยางแผ่น เพิ่มค่า2ต่อ
“ลดกลิ่น-ได้ก๊าซหุงต้ม”
ผลพวงจากยางพาราแผ่นผึ่งแห้ง ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมจากน้ำเสียและกลิ่นเหม็นที่เกิดจากกระบวนการผลิต อันจะส่งผลเสียต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของชาวสวนยางโดยไม่รู้ตัว มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง ร่วมกับมูลนิธินโยบายสุขภาวะ จัดทำ “โครงการบำบัดน้ำเสียจากการผลิตแผ่นยางด้วยระบบบ่อหมักก๊าซชีวภาพ” ขึ้น เพื่อศึกษาและวิจัยหาแนวทางแก้ปัญหาที่เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรชาวสวนยาง โดยได้บการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
อ.วิกาญดา ท้องเนื้อแข็ง หน่วยวิจัยเคมีคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง ในฐานะหัวหน้าโครงการยอมรับว่าการผลิตยางแผนผึ่งแห้งล้วนสร้างปัญหาคือกลิ่นเหม็นและน้ำเสียที่เกิดจากการผลิตแผ่นยาง เพราะในกระบวนการผลิตมีการผสมน้ำยางกับ “กรดฟอร์มิค” หรือ “กรดซัลฟูริค” เพื่อให้น้ำยางแข็งตัว แล้วจึงนำยางที่ได้มาล้างก่อนเข้าเครื่องรีดเพื่อให้ได้ยางแผ่น ซึ่งน้ำเสียที่เกิดขึ้นจะมีสภาพที่เป็นกรดมีความสกปรกสูง
“การผลิตในระดับครัวเรือนเกษตรกรส่วนใหญ่จะขาดความรู้ในการจัดการน้ำเสีย บางรายระบายน้ำเสียลงบนพื้นดินทำให้เกิดกลิ่นเหม็นรบกวน หรือปล่อยน้ำเสียลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติบ้างก็ขุดบ่อเก็บพักน้ำเสียไว้เสียเหล่านี้นานวันเข้าก็จะถูกดูดซึมลงสู่แหล่งน้ำใต้ดินทำให้เกิดการปนเปื้อนสู่แหล่งน้ำอุปโภคบริโภคของชุมชน”
หัวหน้าโครงการคนเดิมระบุอีกว่า ด้วยเหตุนี้คณะผู้วิจัยจึงมีแนวคิดที่จะเปลี่ยนน้ำเสียให้เป็นพลังงานทดแทน ด้วยการนำมาบำบัดในถังหมักก๊าซชีวภาพ ซึ่งนอกจากจะแก้ปัญหาเรื่องสถานที่กำจัดน้ำเสียและกลิ่นเหม้นที่ส่งผลต่อสุขภาพได้แล้ว น้ำที่ผ่านการบำบัดก็จะมีค่าความเป็นกรดลดลงจนสามารถนำไปใช้รดต้นไม้ในสวนได้อีกด้วย
“ผลจากการวิจัยพบว่ามีธาตุอาหารต่างๆ ที่จำเป็นกับพืชสูงมาก กากหรือตะกอนจากการบำบัดก็ยังสามารถนำไปทำเป็นปุ๋ยได้อีก ที่สำคัญชาวบ้านก็จะได้ก๊าซชีวภาพมาใช้ในการประกอบอาหารทดแทนการใช้ก๊าซหุงต้ม ลดรายจ่ายค่าซื้อก๊าซ ปัยหาเรื่องของยุงจากบ่อพักน้ำก็จะลดลงไป แหล่งน้ำใต้ดินหรือแหล่งน้ำตามธรรมชาตก็จะไม่มีการปนเปื้นของกรดหรือสารเคมี” อาจารย์คนเดิมระบุ
ด้าน ผศ.ดร.อุษา อ้นทอง หน่วยวิจัยเคมีคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง เล่าถึงการทำงานนร่วมกับชุมชนว่า การทำสวนยางชาวบ้านมีรายได้คงที่อยู่แล้ว ดังนั้นการที่จะให้มาลงทุนในเรื่องระบบบำบัดน้ำเสียหรือบ่อหมักก๊าซชีวภาพในทันทีทันใดนั้น คงไม่สามารถทำได้ เพราะกลิ่นเหม็นและน้ำเสียอยู่คู่กับชาวสวนยางมานานแล้วเกษตรกรจึงมองไม่เห็นความสำคัญและปัญหาที่เกิดขึ้นต่อสุขภาพของตนเองและสิ่งแวดล้อมของชุมชน
“โจทย์ของเราก็คือ ทำอย่างไรที่จะนำงานวิจัยมาให้ชุมชนยอมรับและนำไปใช้ได้จริง ไม่ยุ่งยาก เกิดประโยชน์ต่อชุมชนได้มากที่สุด เราจึงให้เกษตรกรเจ้าของพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนตั้งแต่เริ่มสร้างไปจนถึงขั้นตอนในการเดินระบบ ทำไปแก้ปัญหาไป โดยสิ่งสำคัญก็คือนักวิชาการและผู้นำชุมชนต้องชี้ให้เห็นว่า เมื่อทำแล้วไม่ใช่แค่ลดปัญหาของกลิ่นเหม็น และลดพื้นที่น้ำเสีย แต่ยังมีผลพลอยได้เป็นก๊าซชีวภาพที่ใช้หุงต้มในครัวเรือนซึ่งเงินที่เขาลงทุนไปนั้นจะไปช่วยลดต้นทุนของการใช้ก๊าซหุงต้ม” อาจารย์อุ สรุปทิ้งท้าย
นับเป็นอีกทางเลือกสำหรับชาวสวนยางพาราในการแก้ปัญหาน้ำเสียและกลิ่นเหม็นจากการผลิตแผ่นยางดิบ ด้วยการเปลี่ยนเป็นพลังงานทดแทน อย่างก๊าซหุงต้ม เพราะนอกจากช่วยแก้ปัญหามลภาวะได้แล้วยังสามารถลดต้นทุนการใช้ก๊าซหุงต้มในครัวเรือนได้เป็นอย่างดี
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
update: 04-08-53
อัพเดตเนื้อหาโดย: คมสัน ไชยองค์การ