วันนี้ของเขา…จรัส คีรีสันติกุล

 

วันนี้ของเขา…จรัส คีรีสันติกุล 

         ความช่วยเหลือจากศุภนิมิตฯ ในวันนั้น ทำให้ผมมีวันนี้

 

          ผมเป็นคนน่าน อยู่ที่ อ.ปัว ตอนเด็กๆ พ่อแม่ประกอบอาชีพปลูกข้าวโพดกับฝ้าย และเลี้ยงวัว ผมเป็นลูกคนที่ 8 ตอนนั้นพ่อแม่อายุมาก ก็มีแต่พี่ๆ ที่ทำงานในไร่กัน ฐานะครอบครัวตอนนั้นบอกได้เลยว่ายากจนมาก ตอนผมจบ ป.7 ที่บ้านไม่มีเงินแม้แต่จะให้ผมไปถ่ายรูปเพื่อใช้ติดใบระเบียนประกอบการเรียนจบคุณจรัส คีรีสันติกุล ย้อนความหลังครั้งวัยเยาว์ให้ฟัง

 

           ผมเป็นคนม้ง ทางการให้ครอบครัวผมย้ายจากเขตพื้นที่สีชมพูบนดอย มาอยู่พื้นราบตอนปี พ.ศ. 2511 ตอนย้ายผมอยู่ ป.1 อายุราว 8 ขวบ ผมเริ่มเข้าโรงเรียนตั้งแต่อยู่บนดอย เป็นโรงเรียน ตชด. พอมาอยู่ที่พื้นราบก็เข้าเรียนโรงเรียนประชาบาล

 

         ที่บ้านเริ่มทำไร่ข้าวโพดกับฝ้ายตอนปี 2515 16 แต่ราคาข้าวโพดกับฝ้ายในสมัยนั้นจะถูกมาก ตอนย้ายมาอยู่พื้นราบ ทางการให้ที่ดินทำกินครอบครัวละ 10 ไร่ บ้านผมอยู่รวมกัน 2 ครอบครัว ก็ได้ 20 ไร่ เราใช้ที่ดินนี้แหล่ะมาทำไร่ข้าวโพดกับฝ้าย เนื่องจากพื้นที่มีจำกัด กับราคาพืชไร่ไม่ดี ทำให้มีรายได้เพียงเล็กน้อย ในสมัยนั้นก็มีการกู้เงินจากนายทุนกันแล้ว เพื่อมาซื้อเมล็ดพันธุ์ เวลาเก็บเกี่ยวเสร็จ เราต้องเรียกนายทุนเอารถมาขนไป เค้าคิดค่ารถด้วย ทำให้เวลาขายพืชได้ พอหักค่าใช้จ่ายต่างๆ กับจ่ายหนี้ ก็จะเหลือเงินน้อยมาก

 

         ผมเป็นคนเดียวในบ้านที่ได้เรียนหนังสือ เพราะเป็นลูกคนเล็ก

 

         โอกาสเข้ามาในชีวิต

 

         ด้วยความที่เป็นเด็กยากจน โอกาสที่จะได้เรียนต่อชั้นมัธยมจึงแทบจะเป็นศูนย์ ในช่วงนั้นที่บ้านไม่มีเงินเลย แต่ผมอยากเรียนต่อมาก พอดีตอนนั้นมีมิชชันนารีชาวอเมริกันซึ่งเป็นหมอ ชื่อ ดร.การ์แลนด์ แบร์ ก่อนหน้านั้นเค้าได้ไปสร้างหอพักไว้ที่หนึ่งในตัวอำเภอปัว เพื่อให้เด็กด้อยโอกาสได้ไปพัก และเรียนหนังสือ เค้ามาที่โรงเรียนของผม แล้วพอเห็นว่าเรามีความประสงค์ที่จะเรียนต่อแต่ไม่มีเงิน เค้าก็เสนอว่าจะหาทุนให้ เราจะเรียนมั้ย ไม่กี่วันต่อมาเค้าก็แจ้งว่าได้ทุนแล้วนะ ให้เราไปเรียนและไปพักอยู่กับเค้าที่หอพัก

 

          ตอนนั้นเป็นปี 2517 ผมเข้าเรียนชั้น มศ.1 ผมไม่รู้ว่าทุนที่ได้รับนั้นมาจากไหน แต่ตอนที่ย้ายเข้าไปอยู่ที่หอพักแล้ว ก็ได้รับแจกสมุดที่มีตราของมูลนิธิศุภนิมิตฯ และได้รับเสื้อผ้านักเรียนด้วย ผมได้รับจดหมายจากผู้อุปการะซึ่งเป็นครอบครัวชาวนิวซีแลนด์ มีการเขียนจดหมายติดต่อกัน ผู้อุปการะของผมชื่อ วาแลรี่ ฮิวเบิร์ต เค้าอุปการะผมอยู่ปีหนึ่ง

 

          จำได้ว่าช่วงคริสต์มาส เค้าส่งกระเป๋านักเรียนมาให้ พอปีที่ 2 ทางมูลนิธิฯ ก็แจ้งมาว่ามีการเปลี่ยนผู้อุปการะแล้วนะ คนใหม่ชื่อ มร.โรเจอร์ เป็นชาวออสเตรเลีย ผมเคยเขียนจดหมายไปคุยกับเค้า ตอนนั้นเค้าเป็นทหารออสเตรเลีย แต่ประจำการอยู่ที่สิงคโปร์ เค้าส่งรูปมาให้ และพอช่วยคริสต์มาสของปีนั้น ผมเรียนอยู่ มศ. 2 เค้าก็ส่งของขวัญมาให้เป็นเงินสด ผมอยากได้นาฬิกา ผู้ปกครองที่ผมอยู่ด้วยก็พาไปซื้อนาฬิกาข้อมือมาเรือนหนึ่ง ชีวิตผมเป็นชีวิตเด็กบ้านนอก บอกได้เลยว่าไม่เคยได้รับของขวัญอะไรมาก่อน แล้วยิ่งได้จากคนที่เราไม่รู้จักด้วย ก็เป็นเรื่องที่ตื่นเต้นมาก

 

          ผมอยากจะไปขอบคุณเค้าด้วยตัวผมเอง ผมเคยคุยกับเจ้าหน้าที่สถานทูตนิวซีแลนด์ว่า ผมเป็นหนี้ครอบครัวชาวนิวซีแลนด์ครอบครัวหนึ่ง ถ้าผมมีโอกาสเจอเค้า ผมจะแสดงความขอบคุณเค้ามากเท่าที่ผมจะสามารถทำได้

 

         ไม่หยุดแม้เผชิญปัญหา

 

         หลังจากเรียนจบ มศ. 5 คุณจรัสสอบเข้าเรียนต่อได้ที่คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อย่างไรก็ตาม เขาได้รับทุนถึงแค่เรียนจบปี 2หลังจากนั้นผู้ปกครองก็มาบอกว่าตอนนี้ไม่มีทุนให้แล้วนะ ค่าใช้จ่ายการเรียนอีก 2 ปีที่เหลือให้หาเอาเอง

 

         คุณจรัสเล่าให้ฟังถึงการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น กระทั่งสามารถเรียนจนจบปริญญาตรี ผมเริ่มทำงานเพื่อส่งตัวเองเรียน ซึ่งเริ่มจากตอนเรียนจบปี 1 ผมมีโอกาสไปทำงานพิเศษที่สถานทูตอเมริกาโดยทำงานให้กับองค์กรหนึ่งเป็นเวลา 2 เดือน จากการแนะนำของรุ่นพี่ ช่วงนั้นเริ่มมีผู้อพยพจากลาว เขมร เข้ามาในประเทศไทย งานที่ผมไปทำคือเป็นวิทยากรสอนผู้อพยพในการเตรียมตัวไปอยู่ประเทศที่สามที่เค้าจะอพยพไปอยู่ ซึ่งหลังจากผมเรียนจบปริญญาตรีแล้ว ผมก็ยังมีโอกาสไปทำงานกับองค์กรนี้ โดยเป็นครูสอนภาษาอังกฤษให้กับผู้อพยพอยู่ 6 เดือน

 

          เมื่อทางผู้ปกครองบอกว่าไม่มีทุนให้แล้วหลังจบปี 2 ผมก็ไปฝากชื่อไว้กับบริษัททัวร์ต่างๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ ว่าถ้าวันไหนมีลูกทัวร์เยอะเกินจำนวนที่ไกด์ของเค้าจะรับไหว ให้เรียกผมไปช่วย ซึ่งในช่วงฤดูท่องเที่ยว ผมก็ได้ไปเป็นไกด์ให้เค้า ก็ได้เงินมาเรียน และในช่วงนั้นมีนักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด มาทำปริญญาเอกด้านมนุษยศาสตร์ พอดีเค้าทำด้านเอกม้ง ก็เลยมาจ้างผมให้ไปช่วยเก็บข้อมูลให้เค้าเป็นรายชิ้น เค้าก็จ่ายให้ดีพอสมควร ผมก็เลยได้เงินมาใช้เรียนจนจบ

 

         โอกาสในด้านการงาน

 

          ผมมีโอกาสทำงานในสถานทูตก็เป็นเพราะผมพูดภาษาอังกฤษได้ เพราะผมมีโอกาสฝึกตั้งแต่ยังอยู่ที่หอพักของมิชชันนารี ตอนนั้นท่านเปิดโอกาสให้เด็กไปฝึกสนทนาภาษาอังกฤษด้วยอาทิตย์ละ 1 ชั่วโมง เด็กคนอื่นชอบไปเล่นกัน แต่ผมชอบไปสนทนาภาษาอังกฤษกับท่าน ประกอบช่วงนั้นที่หอพักมีแขกเยอะ ผมก็เลยมีโอกาสฝึกภาษามากขึ้น

 

          ผมจบ มช. ต้นปี 2526 ก็ทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษให้ผู้อพยพจนถึงเดือนกันยายน พอเดือนตุลาคมก็ย้ายมาทำงานที่สถานทูต ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศอเมริกา เป็นงานสืบสวนข้อเท็จจริงเรื่องฝนเหลือ (yellow rain) ในลาวและเขมร เนื่องจากผมพูดได้ทั้งภาษาไทย อังกฤษ ม้ง และลาว จึงได้งานนี้ ก็ทำงานนี้อยู่ 2 ปี

 

          จนปี 2528 สำนักงานตรวจคนเมืองและแปลงสัญชาติ (immigration and naturalization service) สังกัดกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา มีตำแหน่งว่างจึงสมัครสอบและได้งาน หน่วยงานนี้เปลี่ยนชื่อเป็นสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร (immigration and customs enforcement) ในเวลาต่อมา ผมมาทำงานที่นี่จนถึงปัจจุบัน ตำแหน่ง คือ พนักงานสอบสวน (investigator) ปัจจุบันผมเป็นลูกจ้างประจำของสหรัฐอเมริกา ผมคงทำงานที่นี่จนเกษียณ ที่นี่เค้าเกษียณตอนอายุ 60 ปี ผมอายุ 50 ปีแล้ว ก็คงจะไม่ไปไหนแล้ว

 

         เพราะมีศุภนิมิตฯ ผมจึงมีวันนี้ได้

 

          สำหรับผม ผมคิดว่าการได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธิศุภนิมิตฯ ในวันนั้นทำให้ผมมีวันนี้ เพราะอย่างที่บอกไว้ว่า ตอนนั้นแม้แต่เงินจะถ่ายรูปก็ยังไม่มีเลย สมัยนั้นที่บ้านจะได้เงินเยอะหน่อยจากการขายวัวแค่ปีละครั้งเท่านั้น แล้วตอนช่วงที่เรียนจบไม่ใช่ช่วงที่ขายอะไรได้เลย ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตคนเราคือ การได้เริ่มต้น ถ้าได้เริ่มต้นก้าวแรกก้าวต่อไปจะเกิดขึ้นเองถ้าเรายังมีความเพียรอยู่ แต่ถ้าไม่มีก้าวแรก ก็จะไม่มีก้าวต่อไป และจะไม่มีวันนี้

 

           ทุกครั้งที่ผมคิดถึงเรื่องราวของตัวเอง ผมจะคิดถึงศุภนิมิตฯ ว่าศุภนิมิตฯ ให้โอกาสผมได้เริ่มต้นชีวิตและสร้างความแตกต่างอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ ผมยังนึกไปถึงคนรุ่นๆ เดียวกันกับผมที่ไม่ได้เรียนหนังสือ จะเห็นเลยว่ามีความแตกต่างกันมากมาย ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าคนที่มีโอกาส จะก้าวต่อไปได้ไม่มีวันหยุด แต่คนที่ขาดโอกาสจะหยุดก้าวอยู่แค่ตรงนั้น และความคิดของเค้าก็จะหยุดไปด้วย เพราะฉะนั้นผมจึงคิดว่าศุภนิมิตฯ ได้ให้โอกาสผมเริ่มต้นก้าวแรก จนกระทั่งมีวันนี้

 

          จากเด็กในความอุปการะมาเป็นผู้อุปการะ

 

           หลังจากผมเรียนจบ ผมก็มาคิดว่าการอุปการะเช่นนี้เป็นเรื่องดี เพราะตัวผมมีโอกาสเรียนจบได้ก็เพราะได้รับการอุปการะจากคนอื่น ตอนนั้นผมก็ตั้งใจว่าถ้าผมมีกำลังจะให้ความช่วยเหลือได้ ก็จะทำทันที

 

           ผมเริ่มอุปการะเด็กตั้งแต่ปี 2540 เด็กคนแรกที่อุปการะเป็นเด็กพะเยา อุปการะตั้งแต่เรียน ป.2 ถึง ป.6 จบ ป.6 เค้าไม่เรียนต่อ ก็มาอุปการะเด็กคนที่ 2 เป็นเด็กม้งจากน่าน ผมเริ่มอุปการะตั้งแต่อยู่ ป.4 จนถึง ม.2 หลังจากนั้นเด็กไม่เรียนต่อ ก็เลยได้มาอุปการะเด็กคนใหม่เป็นคนหนองคาย ผมอุปการะตั้งแต่เด็กอยู่ ป.3 ตอนนี้อยู่ ป.6 ผมภูมิใจกับเด็กคนนี้นะ เพราะเป็นเด็กที่เรียนดี เค้าเขียนจดหมายมาบอกว่าเค้าได้ที่ 1 มาโดยตลอด ซึ่งก็น่าจะไปได้ดี เด็กที่อุปการะคนปัจจุบันชื่อ พรนิภา รัตนคุณ ก็มีการเขียนจดหมายติดต่อกันมาโดยตลอด

 

           ในการอุปการะเด็ก ผม และผู้อุปการะคนอื่นๆ ก็คงคิดเหมือนกันว่า เราอยากเห็นเด็กเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีคุณภาพจริงๆ เราอยากเห็นว่า เมื่อเด็กมีโอกาสแล้วเค้ารู้จักคว้าโอกาสนั้นไว้ และทำให้ดีที่สุด

 

          ชีวิตของ คุณจรัส คีรีสันติกุลเองก็เป็นประจักษ์พยานของการได้รับโอกาส การคว้าโอกาสนั้นไว้และทำให้ดีที่สุด

 

 

 

 

 

ที่มา: วารสารศุภนิมิต

 

 

update 11-08-52

อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก

 

 

 

อ่านเนื้อหาทั้งหมดในคอลัมน์คลิกที่นี่

 

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code