ร่วมพัฒนา ยกระดับทักษะแรงงาน
ที่มา : สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)
ภาพประกอบจากสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)
สสค. จัดการประชุมเสวนานานาชาติยกระดับทักษะแรงงาน 2 กลุ่มวัย เด็กเยาวชนและวัยแรงงาน พัฒนาหลักสูตร และแนะแนวอย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) จัดการประชุมเสวนานานาชาติ การพัฒนาทักษะเยาวชนและประชากรวัยแรงงานสู่โลกของการทำงาน: ยุทธศาสตร์และบทเรียนการทำงานจากประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี)
นางสาวอลิซาเบท ฟอร์ดแฮม ที่ปรึกษาอาวุโสสำนักงานด้านการศึกษาและพัฒนาทักษะ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) นำเสนอผลสำรวจทักษะผู้ใหญ่ หรือ Program for the International Assessment of Competencies (PIAAC) เพื่อเป็นเครื่องมือสะท้อนมาตรฐานคุณภาพวัยแรงงาน สำรวจในช่วงอายุ 16-65 ปี จำนวนประมาณ 166,000 คน
“ในกลุ่มของประเทศสมาชิก 24 ประเทศ หลังจากจบการศึกษาและทำงานแล้ว เพื่อวัดทักษะ 3 ด้าน คือ 1.อ่านออกเขียนได้ 2.คิดคำนวณ และ 3.การแก้ปัญหาในสภาพแวดล้อมที่มีการใช้เทคโนโลยีสูง ซึ่งพบสถานการณ์ “ภาวะเสียประโยชน์ค่าจ้าง” เหตุ “แรงงานจำนวนมากทำงานไม่ตรงคุณสมบัติ”เนื่องจากลูกจ้างมีคุณวุฒิ ทักษะ และสาขาที่เรียนจบไม่ตรงกับแรงงาน โดยผลสำรวจได้วิเคราะห์ลงลึกในรายละเอียด อาทิ ระดับการศึกษาและการเข้าศึกษา ประวัติการทำงาน ทักษะที่ใช้ในการทำงานทั่วไปและทักษะเฉพาะที่จำเป็น เป็นต้น เพื่อสะท้อนให้เห็นความจำเป็นของทักษะ ปัจจัยที่เชี่ยมโยงกับประสิทธิภาพความชำนาญ สภาวะความต้องการทักษะในตลาดแรงงาน และปัญหาการจับคู่ทักษะกับงานที่ไม่ตรงกัน” นางสาวอลิซาเบท กล่าว
ทั้งนี้ ผลสำรวจปี 2555 พบว่า ประเทศที่ผู้ใหญ่หรือคนวัยทำงานมีทักษะที่มีความจำเป็นโดยรวมสูงสุดคือ ญี่ปุ่น ฟินแลนด์ และเนเธอร์แลนด์ ขณะที่ชิลิ ตุรกี และอิตาลีติด 3 อันดับรั้งท้าย โดยเมื่อเปรียบเทียบทักษะการรู้หนังสือในอิตาลีและญี่ปุ่นตามระดับการศึกษาจะพบว่า ผู้เรียนที่จบการศึกษาระดับต่ำกว่ามัธยมศึกษาในญี่ปุ่นกลับมีทักษะการเรียนรู้หนังสือเฉลี่ยใกล้เคียงกับผู้เรียนที่จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาในอิตาลี สะท้อนถึงความสามารถเชิงทักษะ และการสร้างแรงงานที่มีประสิทธิภาพในตลาดแรงงานในญี่ปุ่น ซึ่งจะจากผลสำรวจสามารถวิเคราะห์ได้ใน 5 ประเด็น ดังนี้ 1. แรงงานที่มีทักษะดีกว่ามีแนวโน้มที่จะได้รับการว่าจ้างมากกว่า (ในบางประเทศ) และมีโอกาสได้ค่าจ้างสูงกว่า 2. แรงงานที่ใช้ทักษะอย่างสม่ำเสมอมีแนวโน้มได้รับการจ้างงานสูงกว่า 3. บางสถานการณ์แรงงานถูกจ้างทั้งที่คุณสมบัติและทักษะไม่ตรงตามงาน 4. แรงงานจำนวนมากถูกให้ทำงานที่ไม่เหมาะสมกับคุณสมบัติ ไม่ตรงวุฒิและทักษะการรู้หนังสือ และ 5. แรงงานเผชิญกับความสูญเสียประโยชน์เรื่องค่าจ้างเพราะทำงานไม่ตรงทักษะ
ทั้งนี้ข้อมูลโออีซีดียังชี้ให้เห็นว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วมีแนวทางพัฒนาทักษะแรงงานให้แก่เยาวชนและแรงงาน ใน 4 ด้านดังนี้ 1. สร้างให้เกิดหลักประกันในการเข้าถึงการเรียนรู้ทักษะพื้นฐานสากล “ทุกคนสามารถเข้าถึง ประสบความสำเร็จ และได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพถ้วนหน้า”
2. ปลดล็อคอุปสรรคการเรียนรู้เพิ่มเติม เช่น มีการแนะแนวที่มีประสิทธิผล มีรูปแบบการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นได้ และทางเลือกที่หลากหลาย
3. นายจ้างมีส่วนร่วมในการออกแบบ จัดหาและให้ทุนสนับสนุนการศึกษาและการฝึกอบรมตามความต้องการตลาด
และ 4. การพัฒนาฐานข้อมูลเรื่องทักษะและความต้องการแรงงานตามความต้องการของผู้ประกอบการ
ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะช่วยแก้ปัญหาสมองไหล การค้นพบสาเหตุของทักษะที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ช่วยให้นายจ้างได้รับประโยชน์จากทักษะของลูกจ้างอย่างเต็มศักยภาพ เป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานที่ขาดกำลังคน หรืออยู่ระหว่างการจัดสรรกำลังคน และกระตุ้นให้เกิดการสร้างสรรค์งานที่มีมูลค่า
ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร รองประธานกรรมการส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ได้กล่าวถึงข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า ประเทศไทยมีจำนวนประชากรวัยแรงงานตั้งแต่อายุ 15-59 ปี จำนวนทั้งสิ้น 39 ล้านคน ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่ใหญ่มากและเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ การส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทักษะการทำงานแก่กลุ่มวัยทำงานอย่างต่อเนื่องจำเป็นต้องเร่งดำเนินการ นอกจากเหนือจากการพัฒนาเด็กและเยาวชนในวัยเรียน โดยไทยสามารถเรียนรู้จากผลการวิจัย บทเรียนและประสบการณ์การทำงานด้านการศึกษาและการพัฒนาทักษะจากโออีซีดี
นายวณิชย์ อ่วมศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า ทิศทางการจัดการศึกษาของอาชีวศึกษาจะเน้นพัฒนาทักษะอาชีพให้มากขึ้น โดยลดช่องว่างทางทักษะ (Skill Gap) เพื่อตอบสนองและรองรับต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ Thailand4.0 ที่ผ่านมาอาชีวศึกษามุ่งผลิตกำลังคนมุ่งเน้นระดับปวช.และปวส.ซึ่งเป็นกำลังคนระดับปฏิบัติการ ทิศทางจากนี้ต้องพัฒนาไปถึงระดับเชี่ยวชาญ เพิ่มขีดความสามารถมุ่งไปถึงระดับผู้จัดการให้ได้
นายวิณิชย์ เผยต่อว่า หลังจากนี้ สอศ.และสสค.จะจัดทำแผนและตั้งคณะกรรมการทำงานร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนการสร้างแรงงานอาชีวศึกษาที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานวิชาชีพในเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ โดยวิเคราะห์ว่า ทักษะการทำงานสำคัญที่ต้องเร่งพัฒนา ได้แก่ การเป็นผู้ประกอบการที่มีประสิทธิภาพ สามารถวิเคราะห์แก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ทันท่วงที มีความรู้ความเข้าใจในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และก้าวทันต่อเทคโนโลยีใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ การจัดการเรียนการสอนเพื่อผลิตกำลังพลในการพัฒนาประเทศ โดยการจัดการศึกษาที่เน้นทักษะอาชีพที่แท้จริง จึงต้องอาศัยความร่วมมือร่วมกันว่าต้องการกำลังพลที่มีทักษะแบบไหน โดยยึดโยงมาตรฐานอาชีพ สมรรถนะวิชาชีพ สู่การพัฒนาหลักสูตรที่ทันสมัย ทันการปฏิบัติ โดยเฉพาะโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ขณะนี้ สอศ.กำลังปรับหลักสูตรครั้งใหญ่ ทั้ง ปวช. ปวส. และระดับปริญญาในปี 2561 ซึ่งจะผลิตกำลังคน 3 ด้าน คือ 1. มีทักษะ สมรรถนะ ทางเลือกในการศึกษาต่อ 2. จบแล้วสามารถไปทำงานกับสถานประกอบการได้ทันที และ 3. การสร้างคนออกไปประกอบอาชีพอิสระ ดังนั้นหลักสูตรใหม่จะต้องสร้างโอกาสให้เด็กมีช่องทางการดำเนินชีวิตได้มากกว่าการเป็นลูกจ้างอย่างเดียว ขณะเดียวกันเรื่องการพัฒนาครู ให้ความสำคัญกับการพัฒนาครูผู้สอนให้มีทักษะมาตรฐานสากล เร่งผลิตครูให้รองรับกับเด็กและความรู้ใหม่ ซึ่งเน้นการพัฒนาให้ครูไปสร้างประสบการณ์ในสถานประกอบการมากขึ้น ทั้งเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อเป็นฐานในการสอน เพราะการผลิตลูกศิษย์มีฝีมือได้ต้องพัฒนาครูให้เป็นมืออาชีพก่อน